Saturday, December 18, 2004

บันทึกความทรงจำ ...ไตรกีฬาที่บ้านเพ...



เช้าวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2547 ผมขับรถออกจากบ้านที่กรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่บ้านเพ จังหวัดระยอง ผมอยากให้ภรรยามาด้วย อยากให้เธอได้มาพักผ่อนบ้าง แต่เพราะข้อจำกัดบางประการ เราจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่มาเพคือเมื่อยี่สิบปีก่อน ครั้งนั้นผมมาพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งกับภรรยา ในความทรงจำที่ค่อนข้างเลือนลาง ชายหาดบริเวณนี้เงียบสงบ บริสุทธิ์ เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราจำได้ไม่ลืม ขณะที่ผมและภรรยากำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารของรีสอร์ท มีชายคนหนึ่งเข้ามาในร้านอาหารและตรงไปที่พนักงานต้อนรับซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ หลังจากที่ชายผู้นี้ออกไปแล้ว พนักงานต้อนรับซึ่งเป็นเด็กสาวท่าทางเฉลียวฉลาดเดินเข้ามาหาและพูดว่า “ผู้ชายคนนั้นถามหาคุณ…(เธอเอ่ยชื่อผม) แต่เห็นว่าพี่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ (ความหมายของเธอคือถ้ารู้จักกันก็ไม่น่าจะต้องมาถามเธออีก) เลยบอกเขาไปว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ที่นี่” ผมขอบคุณเธอและปฏิภาณไหวพริบของเธอ ชื่อผมก็ไม่โหล ทุกวันนี้ เมื่อไรที่เรานึกถึงเรื่องนั้น เราจะนึกขอบคุณที่เธอไม่ชี้มาที่ผม ขอบคุณครับ
ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แวะซื้อน้ำดื่มที่ปั๊มน้ำมันระหว่างทาง ผมไปถึงทางเข้าหาดแม่รำพึงก่อน 9 โมงเช้าเล็กน้อย ขณะขับรถเลียบชายหาดผมกวาดตามองหาที่พักไปด้วย เล็งที่น่าสนใจไว้สองสามแห่ง แต่ยังไม่ตัดสินใจ

เมื่อสุดชายหาดก็เลี้ยวซ้ายวกอ้อมไปทางขวาสู่บ้านเพตามคำบอกของคนท้องถิ่น ผมจอดรถใกล้ๆสำนักงานเทศบาลตำบลเพแล้วเดินไปสมัครลงระยะโอลิมปิก(ว่ายน้ำ 1.5 K ปั่นจักรยานประมาณ 40 K วิ่ง 10 K)ที่เต๊นท์อำนวยการ รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ ผมได้รับเบอร์ติดเสื้อ เบอร์ติดจักรยาน ถุงอุปกรณ์ และเสื้อยืดที่ระลึก เสร็จแล้วขับไปที่ไพน์บีชโฮเตลซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกล ห้องที่เหลือราคาค่อนข้างแพง คิดว่าน่าจะลองไปหาพี่พักแถวหาดแม่รำพึงดู เงินที่เหลือจะได้เป็นค่าน้ำมันรถขากลับ ผมตัดสินใจกลับไปหาดแม่รำพึงและเลือกที่พักแห่งหนึ่งจากสองสามแห่งที่หมายตาไว้โดยใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์

หลังจากเอาของเข้าเก็บในห้องพักและโทรศัพท์รายงานผบ.ทบ.ว่าถึงที่หมายแล้ว ผมออกไปปั่นจักรยานเบาๆบนถนนเลียบชายหาด พบว่าที่พักอยู่ไม่ไกลจากลานหินขาว ปั่นอยู่ไม่นานก็กลับที่พัก อาบน้ำแล้วทานข้าวกลางวันที่ภรรยาเตรียมมาให้จากบ้าน ผมฆ่าเวลาด้วยการปรับเกียร์เพราะพบปัญหาตอนออกไปปั่นเลียบชายหาด และผมก็ได้ฆ่าเวลาจริงๆ ความเป็นมือใหม่ทำให้ผมต้องเสียเวลากับมันอยู่นาน แต่ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ ขอบคุณพระเจ้า!

ผมดูทีวีบ้าง นอนเล่นบ้าง จนห้าโมงกว่าก็ทานข้าวเย็น แล้วขับรถไปฟังบรรยายสรุปเส้นทางการแข่งขันที่เทศบาลตำบลเพ ซื้อสายรัดสำหรับติดเบอร์มาหนึ่งเส้น กำลังอยากได้พอดี กลับไปห้องพัก ผมจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันจะอาบน้ำนอนผมได้กลิ่นควันไฟเข้ามาในห้อง ผมไม่ตกใจ ไม่ได้คิดว่ามีไฟไหม้ที่ไหน เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่บ้านที่กรุงเทพทุกวัน ก่อนมาก็คิดไว้เหมือนกันว่าอาจจะมาเจออะไรแบบนี้ที่นี่ ผมเปิดประตูห้องออกไป ข้างนอกมีกลิ่นควันไฟค่อนข้างแรง แต่ไม่เห็นต้นตอของควันไฟ คงจะมาจากที่ไหนสักแห่งแถวๆนั้น ผมวุ่นอยู่กับการระบายอากาศและหาทางป้องกันไม่ให้ควันไฟแทรกเข้ามาตามร่องตามรูต่างๆ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผล จนกระทั่งดึก กลิ่นควันไฟจึงจางลง ผมอาบน้ำแล้วเข้านอนร่วมกับกลิ่นควันไฟที่ติดอยู่ในห้อง ผมไม่ชอบมันเลย เพราะมันทำให้ผมมีปัญหาเจ็บป่วยด้วยโรคในระบบทางเดินหายใจหลายครั้งในช่วงสองสามปีมานี้ และทำให้แผนการลงแข่งไตรกีฬาของผมเมื่อกลางปีต้องล้มเลิกไป

หลับไปได้สักสองสามชั่วโมง ผมต้องตืนขึ้นอีกครั้งเพราะอึดอัดหายใจไม่ค่อยออก และพบว่าอากาศในห้องแย่มากๆ มีกลิ่นคล้ายสารเคมีบางอย่างอบอวลอยู่ในห้อง ผมต้องเปิดประตูหน้างต่างเพื่อระบายอากาศ โชคดีที่ควันไฟหายไปแล้ว เมื่ออากาศในห้องดีขึ้น ผมนอนต่อ คราวนี้ผมนอนโดยมียุงเป็นเพื่อน

เสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2547 ผมตื่นแต่เช้า หลังจากอาบน้ำและเติมพลังงานเรียบร้อยแล้ว ประมาณหกโมงครึ่งผมปั่นจักรยานไปลานหินขาว เป็นเช้าที่ดี ผมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างหิวโหย ที่ลานหินขาวมีนักไตรกีฬาจำนวนมากไปถึงก่อนผม หลังจากนำจักรยานและอุปกรณ์เข้าที่ ผมมองดูบรรยากาศรอบๆ ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกสองภาพ หลังการบรรยายสรุปยังมีเวลาเหลือ ผมวิ่งเบาๆเพื่ออบอุ่นร่างกาย ความรู้สึกขณะนั้นยากที่จะอธิบาย ไม่ถึงกับตื่นเต้น มีความพึงพอใจที่กำลังจะได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำมานาน ความมุ่งมั่นกับไตรกีฬาครั้งแรกทำให้ผมไม่ใส่ใจกับสิ่งรบกวนภายนอก และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง

7.30 น. นายกสมาคมไตรกีฬาแห่งประเทศไทยปล่อยตัวนักไตรกีฬา คิดว่าทุกคนวิ่งลงทะเล แต่ผมไม่ได้วิ่ง คิดในใจว่าเป้าหมายคือทำให้จบ ผมว่ายน้ำอยู่กลุ่มท้ายๆ สองคนที่อยู่ข้างหน้าผมตลอดรอบแรกว่ายกบคู่กัน ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างจะแปลกใจ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครว่ายกบในการแข่งขันไตรกีฬา คนหนึ่งเป็นฝรั่ง ส่วนอีกคนคิดว่าเป็นคนไทย เมื่อจบรอบแรก ผมสับสน ลืมไปว่าสำหรับระยะโอลิมปิกให้อ้อมธงที่ชายหาดแล้วลงทะเลเลย กลับไปจำว่าให้วิ่งอ้อมขึ้นไปบนลานหินขาวซึ่งจริงๆแล้วต้องทำเมื่อว่ายน้ำเสร็จ ผมจึงเดินไปที่ลานหินขาวแล้ววิ่งขึ้นอ้อมมาลงทางโขดหิน ลงทะเลว่ายน้ำรอบที่สอง

รอบที่สองนี่เหมือนว่ายอยู่คนเดียวในทะเล สองคนที่ว่ายอยู่ข้างหน้าตลอดรอบแรกหายไปแล้ว ผมว่ายไปเรื่อยๆ เงยหน้ามองทุ่นธงสมเด็จเป็นระยะๆ ไม่รู้เป็นยังไง รู้สึกเหมือนทุ่นธงสมเด็จลอยหนีออกไปเรื่อยๆ ต่างกับรอบแรกที่รู้สึกว่าไม่ไกล เมื่ออ้อมทุ่นธงสมเด็จแล้ว ผมว่ายได้ไม่กี่สโตรกก็ต้องหยุด ผมหาทุ่นธงในหลวงไม่เจอ มองไปในทะเลเปิดก็ไม่มี มองเข้ามาทางฝั่งก็ไม่มี มีแต่ทุ่นเปล่าๆไม่มีธงลอยอยู่ข้างหน้าหนึ่งทุ่น ผมตัดสินใจว่ายไปที่ทุ่นนั้น เมื่อว่ายไปถึง ผมถามคนบนเรือซึ่งในรอบนี้มาลอยอยู่ใกล้ทุ่นว่า “ทุ่นนี้ใช่ไหม” คนบนเรือตอบว่า “ใช่” จริงๆแล้วคำถามของผมไม่สมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าเข้าใจกัน เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ ผมอ้อมทุ่นว่ายเข้าฝั่งทันที การว่ายน้ำเข้าฝั่งคนเดียวในทะเล (อาจมีคนอื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังผมอีก แต่ขณะนั้นผมมองไม่เห็นใครเลย) เป็นความรู้สึกที่พิเศษจริงๆ ผมกำลังทำสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต หรือแม้แต่คิดจะทำ (ก่อนที่จะตัดสินใจฝึกไตรกีฬา) เหมือนมีแต่ผมกับฝั่งที่อยู่ข้างหน้า และผมจะต้องไปถึงมันให้ได้

ถึงฝั่งแล้ว ผมได้รับน้ำใจใสสะอาดเป็นน้ำเย็นสองแก้ว ผมจัดการกับจุดเปลี่ยนที่ 1 อย่างเชื่องช้า แล้วปั่นจักรยานออกจากจุดเริ่มต้น เมื่อถึงจุดที่ต้องเลี้ยวขวาเข้าไปในไร่ ผมบิดแฮนด์ ทันใดนั้น มีเสียงผู้หญิงร้องขึ้นจากด้านหลัง เป็นผู้หญิงจากมาเลเซียที่ขึ้นฝั่งเป็นคนสุดท้ายนั่นเอง ตอนนั้นงงๆ ผมบิดแฮนด์กลับ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเราอาจตัดหน้าเขา แต่ตอนนี้เขาคงรู้ตัวแล้ว แล้วผมก็บิดแฮนด์จะเลี้ยวขวาอีกครั้ง เธอร้องเสียงหลง เธอเข้ามาอยู่ใกล้ผมมาก ด้วยความตกใจผมบิดแฮนด์กลับอย่างรวดเร็ว รถเสียหลักล้มลง โชคดีที่เพิ่งออกจากจุดสตาร์ท ความเร็วรถยังไม่มาก ข้อศอกถลอกเล็กน้อย ผมเห็นเธอปั่นตรงไปตามถนนเลียบชายหาด เธอเหลียวหน้ากลับมาพร้อมกับสบถเป็นภาษาอังกฤษ “ชิต” พอรู้ว่าตัวเองปั่นผิดทางเธอกล่าวขอโทษแล้วกลับรถปั่นเข้าไร่ไป มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน คือคิดว่าทุกคนรู้ว่าต้องเลี้ยวเข้าไร่ตรงนี้ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนกำกับอยู่ตรงนั้นด้วย แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ทำให้ในรอบที่สอง เมื่อมีกลุ่มจักรยานปั่นมาทันผมที่จุดนี้ ผมกางแขนขวาออกเต็มที่เพื่อบอกให้รู้ว่าผมจะเลี้ยวขวา

ไม่กี่อึดใจผมก็ทันผู้หญิงคนนั้น ผมผ่านเธอไปเงียบๆ การปั่นของผมไม่ต่างจากตอนซ้อม เป้าหมายยังคงเหมือนเดิมคือ ทำให้ครบ ต้องประคองตัวไม่ให้อาการบาดเจ็บที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนแข่งกำเริบ ช่วงการปั่นผ่านไปด้วยดี หากไม่นับรถสองแถวและรถบรรทุกที่วิ่งช้าๆปล่อยควันดำอยู่ข้างหน้า (ผมปั่นคนเดียว ไม่มีกลุ่ม)

เมื่อเริ่มวิ่งยังมีคนวิ่งหลายคน วิ่งไปวิ่งไปคนก็น้อยลงเรื่อยๆ ระหว่างทางผมได้รับน้ำใจจากผู้ร่วมแข่งขันสองคน หนึ่งในสองคนนี้ผมจำเขาได้ เราไม่ได้พูดกันเลย ซึ่งก็ไม่จำเป็น ผมรู้สึกถึงความเป็นมิตร สำหรับผม เขาคือ “นักกีฬา” เพราะนอกจากเขาจะเป็น "นักไตรกีฬา" แล้ว เขามี "จิตใจเป็นนักกีฬา" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นนักกีฬาด้วย

ผมวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยความสดชื่น ผมตบมือให้ตัวเอง ผมได้ทำและทำสำเร็จในสิ่งที่ผมปรารถนา ระหว่างเก็บของ ภรรยาผมโทรศัพท์เข้ามาแสดงความยินดี เราพูดกันไม่มากเพราะผมต้องรีบปั่นจักรยานกลับที่พัก ผมต้องออกจากที่นั่นภายในเที่ยงครึ่งตามที่ตกลงกันเนื่องจากมีลูกค้าจองห้องพักไว้ อาบน้ำเสร็จผมหยิบเสื้อยืดที่ระลึกการแข่งขันไตรกีฬาครั้งนี้ออกมาใส่อย่างภาคภูมิใจ ผมทำสำเร็จแล้ว

เลยเที่ยงครึ่งไปเล็กน้อย ผมขับรถกลับกรุงเทพ ระหว่างทางแวะซื้อของในปั๊มน้ำมันทานเป็นข้าวกลางวัน ผมถึงบ้านประมาณสี่โมงเย็น สิ่งแรกที่ผมทำคือเอาเหรียญไตรกีฬาที่ได้คล้องคอภรรยา ผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างผมมาตลอดไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด สำหรับเรา แม้เหรียญนี้จะไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่เหรียญนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เธอรู้ดีว่ากว่าจะมีวันนี้ผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง การเจ็บป่วยเนื่องจากสารพิษที่ระดมปล่อยเข้ามาในบ้าน การฝึกซ้อมที่การกดดันกลั่นแกล้งติดตามผมไปดั่งเงาตามตัว ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่ง ซ้อมปั่นจักรยาน หรือซ้อมว่ายน้ำ “…มีเรื่องราวต่างๆมากมายบันทึกอยู่ในเหรียญนี้…”

Tuesday, November 23, 2004

มอเตอร์เวย์ ...รอยยิ้มแห่งมิตรภาพ...


เช้าวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ย. 2547 ผมไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์เหมือนอาทิตย์ก่อนๆ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ลมแรงพัดมาจากทิศตะวันออก ทำให้การปั่นเที่ยวขาไปต้องออกแรงมากหน่อย แต่ขากลับปั่นตามลม ทำความเร็วได้ดีทีเดียว หลังจากปั่นไปประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาที ผมกลับมาที่รถและพบว่าลืมปิดไฟหน้า ใจคอไม่ดี ถ้าสตาร์ทไม่ติดจะทำยังไง แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนและไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยเข็นด้วย ขึ้นรถบิดกุญแจ เงียบสนิท แบตหมดแน่ๆ ผมลงจากรถมองไปรอบๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเตรียมร้านซึ่งตั้งอยู่บนทางเท้าฝั่งตรงข้าม แต่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกประมาณร้อยกว่าเมตร เข้าใจว่าเป็นร้านอาหาร ผมตัดสินใจเดินไปที่นั่น

เธออายุประมาณ 30 ปี นุ่งกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมศรีษะแบบหญิงมุสลิมทั่วไป ผมเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดว่าต้องการอะไร เธอก็พูดขึ้นเองว่า “จะให้ช่วยเข็นรถใช่ไหม” ผมตอบว่า “ใช่” เธอไม่มีทีท่ารำคาญที่เราไปขัดจังหวะการทำงานของเธอเลย เธอสื่อสารกับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซื่อๆ เต็มอกเต็มใจ เธอหันหลังเดินไปที่บ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตรติดริมถนน ได้ยินเสียงเธอเรียก “บังๆ” และพูดบางอย่างกับชายคนนั้น ชายวัย 30 เศษ รูปร่างแกร่ง ไม่อ้วนไม่ผอม เดินมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กระตือรือร้น เขานุ่งกางเกงขายาวสีเทาหม่นๆกับเสื้อแขนสั้นปล่อยชายสีเดียวกัน สวมหมวกไหมพรมสีครีม บังเป็นพี่ชายของผู้หญิงคนนั้น บังเข็นที่ท้ายรถ ส่วนผมเข็นที่ประตูคนขับ พอความเร็วได้ที่ผมกระโดดขึ้นรถ เข้าเกียร์สอง ปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่ง เครื่องติดอย่างง่ายดาย พอรถติดบังก็หันหลังข้ามถนนเดินกลับบ้าน ผมต้องรีบตะโกนขอบคุณเขา

ผมปล่อยให้เครื่องเดินอยู่ประมาณห้านาที ระหว่างนั้นผมวิ่งอยู่บนไหล่ถนนไม่ห่างจากรถนัก เมื่อแน่ใจว่ามีไฟพอแล้ว ผมดับเครื่องและวิ่งต่อ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและวกกลับถึงรถเมื่อวิ่งไปได้สามสิบนาที หลังจากดื่มน้ำดับกระหาย ผมเตรียมตัวกลับบ้าน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก เครื่องสตาร์ทไม่ติด เงียบเหมือนครั้งก่อน เป็นไปได้ยังไง เราเพิ่งเปลี่ยนแบตเมื่อหกเดือนก่อน แบตไม่น่าจะเสื่อมถึงกับเก็บไฟไม่อยู่ สงสัยไดสตาร์ทจะมีปัญหา แต่เราก็เพิ่งเปลี่ยนไดสตาร์ทพร้อมกับแบตลูกนี้นี่นา หรือว่าจะเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้เหมือนแอร์รถที่เปลี่ยนทุกอย่างแม้แต่ตัวคอมเพรสเซอร์ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้จนทุกวันนี้ผมเลิกใช้แอร์ไปแล้ว มันคงเป็นโรคประจำตัวผมกระมัง

ผมเดินกลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไม่ทันจะพูดอะไรมาก เธอก็พูดขึ้นเหมือนเดิม “จะให้ช่วยเข็นอีกใช่ไหม” ผมเองก็เกรงใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “รบกวนอีกสักครั้ง” เธอไปตามบังมาอีก บังยังคงยิ้มแย้มอารมณ์ดีเหมือนครั้งแรก เมื่อเข็นรถเครื่องติดแล้ว ผมจะให้สตางค์บัง แต่บังปฏิเสธ (ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกแล้ว!) ผมนึกขึ้นมาได้ว่ามีส้มอยู่สองลูกกับขนมปังใส้ถั่วแดงหนึ่งก้อนที่เตรียมมากินหลังออกกำลัง ผมชะโงกเข้าไปในรถ คว้าส้มหนึ่งลูกกับขนมปังไส้ถั่วแดง ยื่นใส่มือบังพร้อมกับพูดว่า “แบ่งกัน” ผมขอบคุณบังก่อนที่เขาจะข้ามถนนกลับไป พอจัดการอะไรอีกนิดหน่อยเสร็จเรียบร้อย ผมกลับรถขับผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว บังยังคงยืนอยู่กับน้องสาว บังเคี้ยวอะไรบางอย่างในปาก อาจเป็นส้มหรือขนมปังที่เพิ่งได้ไปจากผม ทั้งสองคนยิ้มแย้มโบกมือกับผม พวกเขายิ้มจากใจจริงๆ ผมสัมผัสได้ ผมเชื่อว่าพวกเขาก็สัมผัสได้เช่นกัน น้ำใจ ความโอบอ้อมอารี และ …มิตรภาพ… สิ่งดีๆที่ขาดหายไปจากชีวิตผมนานมากแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าเหตุการณ์จะผันแปรอย่างไร อำนาจนอกระบบจะบีบให้คนต้องเปลี่ยนไปขนาดไหน ผมจะจดจำความประทับใจนี้ไว้ …รอยยิ้มแห่งมิตรภาพของสองพี่น้องบ้านม้า…

Monday, November 15, 2004

มอเตอร์เวย์ ~พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านม้า~


อาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2547 ผมออกจากบ้านประมาณหกโมงสิบห้านาที ขณะรถแล่นข้ามถนนศรีนครินทร์เพื่อเข้าสู่มอเตอร์เวย์ ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังขับรถเข้าไปในแดนสนธยา หมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมต้องเปิดไฟรถและชะลอความเร็ว เมื่อเข้าสู่ทางคู่ขนาน ผมเห็นดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือโดมสุเหร่าบ้านม้า สภาพอากาศตอนนั้นทำให้ผมสามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างสบายตา ดวงกลมแดงเรื่อขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของโดม เป็นภาพที่รวมสามองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างงดงาม หอสูงของสุเหร่า โดมสีเขียว และดวงอาทิตย์ลอยเด่นเหนือโดม

วันนี้ผมปั่นจักรยานตามปกติ ผ่านโรงเรียนสุเหร่าทับช้าง ถนนวงแหวนรอบนอก เลียบมอเตอร์เวย์ไปทางทิศตะวันออก ห่างออกไปทางขวามีทางรถไฟตีคู่ไปกับถนน ขบวนรถไฟผ่านมาเป็นระยะๆ เข้าใจว่าเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม (เนื่องในวาระออกจากการถือศีลอด?) มีการกระจายเสียงบทสวดตามสุเหร่าและจุดต่างๆ ด้วยสภาพบรรยากาศที่เป็นอยู่ขณะนั้น ผมพบว่าบทสวดดังกล่าวมีความไพเราะเหมือนกัน

เศษขวดเบียร์ที่ผมพบเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกเก็บกวาดไปแล้ว เหลือแต่เศษแก้วเม็ดเล็กๆที่แทรกอยู่ตามผิวยางมะตอยอันขรุขระ หลังจากปั่นเสร็จตามที่ตั้งใจไว้ ผมจอดจักรยานพิงไว้กับกันชนหน้าของรถแล้วออกวิ่งบนไหล่ทางไปยังสะพานที่อยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นจุดรวมพลของนักปั่นประจำห่างจากรถผมประมาณ 200 เมตร ผมวิ่งไปวิ่งกลับจนถึงเที่ยวที่สาม พอหันตัวกลับที่สะพานเพื่อวิ่งกลับมาที่รถ ผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเหมือนโฉบเข้าไปที่จักรยานผมและวิ่งไต่ขอบถนนมาทางผม เมื่อเข้ามาใกล้ผมเห็นวัยรุ่นผู้ชายอายุประมาณ 15-17 ปี สามคนซ้อนท้ายกันมา ประมาณอีก 7 เมตรจะถึงผม (ซึ่งกำลังวิ่งสวนมา) วัยรุ่นคนหลังสุดได้กางแขนทั้งสองข้างออกและมองมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มๆ เนื่องจากมอเตอร์ไซค์คันนี้วิ่งชิดไหล่ทาง ผมจึงต้องระวังแขนที่ยื่นออกมา ขณะเดียวกันผมก็ยกมือซ้ายขึ้นเสมอไหล่ ถือเป็นการทักทายตอบ เมื่อวิ่งไปถึงรถ ผมคิดว่าสมควรไปได้แล้ว ผมเก็บจักรยานใส่รถและขับไปหาแม่เพื่อเยี่ยมท่านและเอาทุเรียนกวนที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งฝากให้ผม

วัยรุ่นสามคนนั้นอาจเห็นจักรยานเสือหมอบจอดอยู่ เกิดสนใจขึ้นมาจึงโฉบเข้าไปดู แต่การขับมอเตอร์ไซค์ไต่ขอบถนนนี่ออกจะแปลกๆ เพราะไม่ใช่พฤติกรรมปกติของวัยรุ่นผู้ชาย (ที่ซ้อนสาม) จะขี่มอเตอร์ไซค์เช่นนั้นบนถนนที่แทบจะไม่มีรถยนต์เลย ยิ่งอาการกางแขนยิ้มให้ผมตอนที่สวนกันยิ่งแปลกใหญ่ ผมเองก็ไม่ใช่วัยรุ่น คิดว่าแก่กว่าคุณพ่อของเด็กเหล่านี้เสียอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาพยายามจะทำอะไร อาจเป็นเพราะอยู่ในวัยคึกคะนอง แต่สำหรับผมซึ่งถูกกลุ่มอำนาจมืดจ้องเล่นงานตลอดเวลา เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการกลั่นแกล้งกดดันที่ผมและภรรยาเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ได้ !!!

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

Thursday, November 11, 2004

สารพิษ ~มีผลต่อร่างกายอย่างไร~

โดยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ เมื่อได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายจะมีขบวนการทำลายพิษให้น้อยลงและพยายามขับสารนั้นออก ทางเหงื่อ น้ำนม ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลาย ลมหายใจ แต่หากได้รับสารพิษมากเกินไปจะเกิดการสะสมและเกิดผลเสียหายต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายทั้งในลักษณะเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ดังนี้
1. ผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นทางผ่านของก๊าซไอระเหย ฝุ่นละอองของสารพิษ ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจในส่วนต้น ทำลายเนื้อเยื่อปอด ทำลายความยืดหยุ่นปอด เกิดการแพ้สาร หรือเกิดมะเร็งหากสัมผัสสารอย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
2. ผลต่อผิวหนัง เกิดการระคายเคืองขั้นต้น เกิดการแพ้แสง ทำลายผิวหนังอย่างถาวร เกิดมะเร็งผิวหนัง
3. ผลต่อตา เกิดอาการระคายเคือง แสบตา เยื่อยุตาอักเสบ ตาพร่ามัว น้ำตาไหลและอาจตาบอดได้ถ้ารับสารในปริมาณมาก เช่น เมธานอล
4. ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ขาดออกซิเจนในเลือด มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาท เช่น ตาพร่ามัว กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อสั่น ชัก ขาดความจำกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน และการรับความรู้สึกไม่ปรกติ
5. ผลต่ออวัยวะภายใน
ตับ : แบบเฉียบพลัน (เซลล์ตาย) แบบเรื้อรัง (ตับแข็ง มะเร็ง) สารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น คาร์บอนเตตระคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม
ไต : สารที่เป็นพิษต่อไต เช่น โลหะหนัก คาร์บอนไดซัลไฟด์
เลือด : กระทบต่อระบบการการสร้างเม็ดเลือด (ไขกระดูก) องค์ประกอบของเลือด (เกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว) หรือความสามารถในการขนส่งออกซิเจนของเซลล์เม็ดเลือด สารที่เป็นพิษต่อเลือด เช่น เบนซิน กัมมันตรังสี
ม้าม : สารที่เป็นพิษต่อม้าม เช่น คลอโรฟีน ไนโตรเบนซิน
ระบบสืบพันธ์ ุ: เป็นหมัน อสุจิผิดปกติ มีิอสุจิน้อย ระบบฮอร์โมนทำงานผิดปกติ สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ เช่น โลหะหนักไดออกซิน

เกิดอาการอย่างไร?..เมื่อได้รับสารอันตราย
แบบเฉียบพลัน : เป็นการสัมผัสที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น เช่น หนึ่งนาทีถึงสองสามวัน อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ เกิดผดผื่นคันระคายเคือง ผิวหนังไหม้ อักเสบ ขาดอากาศ หน้ามืด วิงเวียน
แบบเรื้อรัง : เป็นการสัมผัสสารที่ระดับค่อนข้างต่ำในระยะเวลานานตั้งแต่เป็นเดือนถึงเป็นปี อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดความพิการในทารก (Teratogenic) การเกิดความผิดปกติทางสายพันธ์ุในตัวอ่อน หรือการผ่าเหล่า (Uutagenic) การผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของ DNA การเกิดมะเร็ง (Carcinogenic)

ที่มา: คู่มือประชาชน “การระวังภัยจากสารเคมีอันตราย” กรมควบคุมมลพิษ



ดูรายละเอียดใน...สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย~

Tuesday, November 09, 2004

มอเตอร์เวย์ ...ขวดเบียร์บนไหล่ทาง...


เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 47 ผมไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์ จริงๆแล้วเป็นถนนที่ขนานไปกับมอเตอร์เวย์ แต่เพื่อความสะดวกจึงเรียกสั้นๆเช่นนั้น
ผมออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ขับรถไปตามถนนพระรามเก้า ข้ามถนนศรีนครินทร์ ชิดซ้าย ออกทางคู่ขนาน ตรงไปอีกเล็กน้อยก็ขึ้นสะพานกลับรถ พอลงสะพานมาได้ประมาณ 200 เมตรก็กลับรถเข้าสู่ถนนคู่ขนานข้างมอเตอร์เวย์ ขับผ่านโรงเรียนสุเหร่าบ้านม้าไปไม่ไกล ผมก็จอดรถบนไหล่ถนนตรงกองท่อระบายน้ำ หันหน้ารถไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดเมื่อคราวที่แล้ว
ผมไปถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง แต่ก็มีคนไปถึงก่อนผมบ้างแล้ว ถนนเส้นนี้เหมาะกับการซ้อมปั่นจักรยาน หรือปั่นจักรยานเพื่อออกกำลัง เพราะเป็นเส้นทางที่ยาวโดยไม่มีทางแยกมาตัดขวางเลย ระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร ปั่นหนึ่งรอบก็ 22 กิโลเมตร รถยนต์ทั่วไปมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกและรถพ่วงขนาดใหญ่ที่ใช้ในงานก่อสร้างทางซึ่งจะวิ่งจาก site งานที่ตั้งอยู่บนถนนนี้ไปยังสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งแบบที่เป็นของจริงและการสร้างสถานการณ์ นอกนั้นก็เป็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ที่อาศัยอยู่แถบนั้น

หลังจากประกอบจักรยานเสร็จ ผมเริ่มปั่นออกไปทางทิศตะวันออก ไปได้สัก 1 กิโลเมตร ผมพบขวดเบียร์แตกกระจายเต็มไหล่ทาง (ถนนเส้นนี้มีไหล่ทางกว้างประมาณสองเมตรซึ่งช่วยให้การปั่นจักรยานปลอดภัยเมื่อต้องหลบหลีกพาหนะที่ใหญ่กว่า และผมก็มักจะปั่นบนไหล่ทางเมื่อโอกาสอำนวยด้วย) ผมจอดจักรยานและใช้โฟมที่หาได้แถวนั้นเป็นอุปกรณ์ปัดกวาดเศษขวดเบียร์ลงข้างทาง ผมเสียเวลาปัดกวาดอยู่นานเพราะขวดแตกกระจัดกระจายทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ไปตามไหล่ถนนเป็นทางยาวร่วมสิบเมตร ป้ายฉลากติดเศษแก้วระบุว่าเป็นเบียร์ช้างครับ ผมยังพบบุหรี่ก้นกรองหนึ่งตัวตรงจุดนั้นด้วย บุหรี่ตัวนี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ เพิ่งสูบไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น เหมือนกับถูกโยนทิ้งและปล่อยให้ดับไปเอง กวาดเสร็จผมก็ปั่นต่อ ตลอดเส้นทางผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์บนไหล่ถนนอีกสองจุด จุดสุดท้ายเป็นแก้วสีเขียว และเมื่อผมปั่นเสร็จ ผมปล่อยให้รถไหลช้าๆเข้าข้างทางห่างจากรถผมไปข้างหน้าประมาณเจ็ดเมตร ผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์แตกกระจายบนไหล่ถนนอีก ผมไม่แน่ใจว่าเศษแก้วตรงนี้มีอยู่ก่อนที่ผมจะมาถึงหรือไม่ เพราะตอนเริ่มปั่นจักรยานผมไม่ทันได้สังเกต ถ้ามีอยู่ก่อนแล้วก็นับเป็นโชคดีของผมที่จักรยานหรือรถผมไม่ได้ไปทับ เพราะอาจทำให้ยางรั่วได้ง่ายมาก ในสี่จุดนี้ จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่เป็นขวดเบียร์ช้างซึ่งผมกวาดลงข้างทางไปแล้ว เพราะนอกจากจะมีเศษแก้วกระจัดกระจายมากที่สุดแล้ว ยังมีเศษขวดชิ้นโตๆคมๆหลายชิ้น ผมไม่ได้เก็บกวาดเศษแก้วที่จุดอื่นเพราะจะทำให้เสียเวลามากและไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่จุด ต้องแก้ไขด้วยการขยับออกมาปั่นบนถนนมากขึ้น ซึ่งก็อันตรายอีกเช่นกัน

ลองมาดูข้อชวนสงสัยกันครับ

ประการแรก เหตุใดจึงมีเศษขวดเบียร์ (สันนิษฐานว่าสามจุดที่พบในภายหลังเป็นขวดเบียร์เช่นกัน) แตกกระจายตามไหล่ถนนเป็นระยะๆถึงสี่จุด คำตอบคือ มีความคาดหวังบางอย่าง ดังนั้นเพื่อให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด จะต้องกันเหนียวเอาไว้ จึงต้องมีหลายจุด

ประการที่สอง เศษขวดเบียร์ที่จุดหนึ่งแทบจะเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดรถเมื่อคราวที่แล้ว ถ้าผมขับรถทับไป ยางรถยนต์อาจรั่ว ก็เสียเวลายุ่งยากอีก โชคดีที่ผมจอดก่อนถึงจุดนี้เพียงไม่กี่เมตร (ผมจอดห่างจากที่จอดรถของกลุ่มปั่นประจำประมาณสองร้อยเมตร มีรถผมคันเดียวที่จอดตรงนี้)

ประการที่สาม บริเวณนั้นมีคนอยู่อาศัยเบาบาง มีบ้านอยู่ห่างกันเป็นหลังๆ คนแถบนี้เป็นมุสลิมซึ่งไม่ดื่มของมึนเมา ที่ไม่ใช่มุสลิมก็เป็นคนงานก่อสร้าง (สร้างถนน, ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่) มีบ้านพักคนงานเป็นจุดๆ แต่ละจุดห่างกันมาก ถ้าคนงานจะดื่มเบียร์ เหตุใดจึงต้องไปนั่งดื่มที่ไหล่ถนนสี่จุดนั้น ดื่มที่บ้านพักคนงานไม่สะดวกกว่าหรือ และคนงานคงจะไม่ร่ำรวยขนาดสูบบุหรี่ก้นกรองไปเพียงหนึ่งในสามส่วนแล้วโยนทิ้ง ผมเคยเห็นแต่คนงานสูบบุหรี่จนแดงวาบติดปลายนิ้ว และมักจะไม่ใช่แบบที่มีก้นกรองด้วย

ประการที่สี่ จุดที่พบเศษขวดเบียร์เป็นจุดที่ไม่มีบ้านพักอาศัย ไหล่ถนนที่มีเศษขวดเบียร์กระจายอยู่นั้นติดกับมอเตอร์เวย์ซึ่งมีรั้วลวดตาข่ายกั้น อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นทุ่งโล่ง ลองนึกภาพดูสิครับ ใครจะมานั่งดื่มเบียร์กันตรงนั้น หรือจะคิดว่ามีพวกคึกคะนองขับรถผ่านมา (จริงๆก็ไม่ใช่เส้นทางที่จะมีจิกโก๋หรือนักท่องราตรีขับผ่าน) แล้วโยนขวดเบียร์ออกนอกรถเล่นด้วยความมันส์ แล้วบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปแค่หนึ่งในสามที่หล่นอยู่กับเศษขวดเบียร์ช้างล่ะ อาจมีคนตอบว่าตอนจิกโก๋โยนขวดเบียร์บังเอิญไปปัดโดนบุหรี่ที่คาบอยู่ตรงมุมปากครับ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป

สำหรับผมคิดว่าคนที่ทำขวดเบียร์ช้างแตกกระจายคงต้องรีบทำอะไรบางอย่างอย่างกระทันหัน จึงโยนบุหรี่ทิ้งไปทั้งๆที่เพิ่งสูบไปเพียงนิดเดียว และด้วยเหตุที่รีบจึงไม่สนใจที่จะเหยียบหรือขยี้บุหรี่ให้ดับก่อน จึงไม่มีร่องรอยการบุบสลายของบุหรี่ แต่บุหรี่ก็ดับไปเอง และคนๆนั้นก็ไม่น่าจะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่แถบนั้น และไม่ใช่คนงานทั่วไปด้วย

นอกจากขวดเบียร์ที่เป็นเรื่องใหม่แล้ว เรื่องควันไฟที่ผมพูดไปในหัวข้อ “สารพิษ อาวุธสังหารฯ” นั้นยังมีอยู่เป็นจุดๆ ส่วนใหญ่จะมีตามบ้านพักคนงาน กลิ่นแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนการจุดเตาหุงหาอาหารโดยใช้ฟืนหรือถ่านตามปกติ ที่แย่หน่อยก็ตรงสะพานกลับรถที่ดูเหมือนสร้างเพิ่งเสร็จแต่ยังไม่ได้เปิดใช้ คนงานตรงนั้นจุดไฟกองโตห่างจากไหล่ถนนเพียงหนึ่งเมตร เราปั่นไปถึงพอดีหรือเขาจุดไฟพอดีเราปั่นไปถึงก็ไม่รู้นะ แต่เปลวไฟโชติช่วง ควันโขมงตอนเราปั่นผ่าน ต้องใช้วิชานินจากลั้นหายใจเอา (ฝึกเป็นประจำที่บ้าน)

ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะมีปรากฏการณ์แปลกใหม่อะไรอีก จะมีขวดเบียร์แตกกระจายกลางถนนเลยหรือไม่ เอามันให้สะใจไปเลย มีอำนาจ มีเครือข่ายอยู่ทุกซอกทุกมุม จะต้องไปเกรงใจใครทำไม… สงสารคนที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างเถอะ!!!

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

Friday, October 29, 2004

...หมาประจำซอย!


ระยะนี้ สัปดาห์หนึ่งผมจะไปว่ายน้ำออกกำลัง 2-3 ครั้ง โดยเดินจากบ้านไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามซอยประมาณ 20 กว่านาที ก็จะถึงสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ในสปอร์ตคลับแบบเปิด (ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิก) เช้าวันหนึ่ง ระหว่างทางเดินกลับหลังจากว่ายน้ำเสร็จ แม่ค้าขายอาหารข้างถนนใกล้สปอร์ตคลับในซอยที่ผมเดินผ่านประจำเดินสวนทางมาและร้องเรียกเสียงดังว่า “หมา หมา หมา หมา” ในมือถือถุงนมหนึ่งถุง ผมเลยพูดไปว่า “แถวนี้หมาเยอะนะ” แม่ค้าตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่มองหน้าว่า “มีอยู่ตัวเดียว หมาประจำซอย” ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ในใจก็คิดว่า “ก้อเราเห็นหมาในซอยนี้ตั้งหลายตัวนี่นา”

สัปดาห์ต่อมา ผมเดินมาว่ายน้ำอีก พอมาถึงหน้าร้านซึ่งทั้งตัวร้านและโต๊ะเก้าอี้ล้วนวางอยู่บนไหล่ถนนจนไม่มีทางเดิน ผมแวะบอกเธอว่า “หมาประจำซอยน่ะ มีหลายตัวนะ ไม่ได้มีตัวเดียว”…

การข่มขู่ให้กลัว


การข่มขู่ที่เราเผชิญมามีหลายรูปแบบ ที่พอจะสรุปได้อย่างเป็นรูปธรรมส่วนหนึ่งมีดังนี้

(1) ให้ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองพูดข่มขู่ซึ่งบางครั้งก็เป็นการกระทำซึ่งหน้า เช่น ขู่ว่าจะปาระเบิดใส่บ้าน จะเผาบ้าน จะดักปาดคอที่ปากซอย นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์เข้ามาพูดข่มขู่ ซึ่งจำเสียงได้ว่าเป็นกรรมการคนหนึ่งในชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะข้างบ้านเราเอง และเราได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว
(2) ข่มขู่ด้วยการลักลอบเข้ามาในบ้านยามวิกาลและกระทำการบางอย่างไว้ให้เห็นเพื่อให้หวาดกลัว เช่น ใช้ของมีคมกรีดตัดใบไม้ให้เห็นชัดๆ และมีหลายครั้งหลายหนในเวลาใกล้ๆกัน มีการกรีดเชือกไนล่อน ที่ใช้เป็นราวตากผ้าให้ใกล้ขาด เมื่อเอาผ้ามาตาก ความหนักของเสื้อผ้าจะทำให้เชือกขาด (เชือกในล่อนขนาดเกือบเท่าปลายนิ้วก้อยและมีสภาพใหม่)
เหตุการณ์ที่ถือว่าอุกอาจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ เมื่อถึงเที่ยงคืน ได้มีการจุดประทัดและระเบิดต่อเนื่องหลายสิบลูกในบริเวณที่พักตำรวจติดกับรั้วด้านทิศใต้ของบ้าน เสียงระเบิดดังกึกก้องอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำกันในเขตที่พักของตำรวจ หลังเสียงระเบิดหายไปสักพัก ได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านตะกุยประตูห้องใต้ถุนบ้านด้วยความหวาดกลัว จึงลงไปดู และพบว่าสุนัขที่เลี้ยงไว้สองตัว หายไปหนึ่งตัว พยายามตามหาบริเวณใกล้บ้านอยู่นานหลายวัน แต่ก็ไม่พบ
(3) ข่มขู่ด้วยเสียงระเบิดใกล้บ้าน กรณีนี้เป็นการข่มขู่มากกว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ เพราะเป็นเสียงระเบิดที่ดังมากและเกิดในจุดที่อยู่ติดบ้านของเรา เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งในวันขึ้นปีใหม่และวันเฉลิมฯ หรือแม้แต่วันธรรมดาทั่วไปที่พวกนี้นึกอยากจะทำ เป็นเรื่องแปลกที่สิ่งนี้เกิดขึ้นในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของอาคารที่พักตำรวจ เราร้องเรียนมาตลอด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยจริงจังกับปัญหานี้
(4) ข่มขู่ด้วยการขว้างของแข็งและสิ่งต่างๆข้ามาในบ้าน บางครั้งก็เกิดในเวลากลางคืน บางครั้งก็เกิดในเวลากลางวันแสกๆ เช่น มีการปาขวดน้ำปลา 2 ขวดใหญ่ เข้ามาในบ้าน เศษแก้วแตกกระจาย น้ำปลาหกเรี่ยราดเหม็นไปทั่ว ขว้างปารองเท้าแตะ งูเขียวหางไหม้ (ถูกทุบหัวแล้วแต่ยังไม่ตาย) และขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังจำพวกกระทิงแดง (กระแทกตัวบ้านแตกกระจาย) เข้ามาในบ้าน

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

รูปแบบการกดดัน

การกลั่นแกล้งกดดันที่กระทำต่อเรามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 พอสรุปได้ 4 วิธี คือ

วิธีที่หนึ่ง เน้นด้านจิตวิทยา
ด้วยการพยายามให้คนรอบข้างและสังคมต่อต้านเพื่อโดดเดี่ยวและก่อกวนไม่ให้ชีวิตมีความสุขในทุกที่ทุกโอกาส ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน กลางวันหรือกลางคืน พวกนี้จะทำตัวเหมือนลิงที่เกาะแน่นอยู่บนหลังของคุณ เป็นการกดดันเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าไม่มีที่ใดในเมืองไทยที่เราจะสามารถอยู่ได้ เหมือนดั่งวลีอมตะที่พวกเขาชอบใช้ข่มขู่ผู้อื่นจนชินปากว่า “ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ !”
สำหรับกลั่นแกล้งกดดันที่บ้านนั้น ตอนนี้จะขอพูดถึงเฉพาะบ้านที่อยู่ในปัจจุบันซึ่งเราย้ายกลับมาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อต้นปี 45 ที่นี่มีการใช้ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองใกล้บ้านเป็นหลักในการก่อกวนทุกรูปแบบ มีการข่มขู่ให้กลัวด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โทรศัพท์ข่มขู่ พูดข่มขู่ซึ่งหน้า ดูหมิ่นด่าทอ ใช้ของแข็งขว้างตัวบ้านและกระจกหน้าต่าง ปีนเข้ามาขโมยของและทำลายทรัพย์สินในบ้าน จุดระเบิดข่มขวัญ เป็นต้น พยายามให้ปัญหาระหว่างเรากับผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองกลุ่มที่เคยอยู่ติดรั้วบ้านของเรา บานปลายกลายเป็นปัญหากับผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองทั้งหมด โดยทำให้คนเหล่านี้เข้าใจว่าเราจะทำให้พวกเขาต้องถูกไล่รื้อถอนอาคารด้วย ทำให้คนอื่นๆช่วยกันกดดันกลั่นแกล้งเราโดยอัตโนมัติ ผู้นำชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองคนหนึ่งถึงกับโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ซึ่งเราได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว
ในช่วงที่มีการรื้อถอนอาคารผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองส่วนที่อยู่ติดกับบ้านเราซึ่งเป็นกลุ่มที่กลั่นแกล้งกดดันเราหนักมาก ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองรายหนึ่งซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการกดดันเราที่จุดนี้ได้ปลุกระดมผู้บุกรุกที่สาธารณะรายอื่นๆจนเกิดเป็นม็อบย่อยๆมารุมด่าทอและพยายามทำลายประตูรั้วบ้านที่เราใช้เข้าออกทางด้านริมคลองจนได้รับความเสียหาย ต่อมาพี่ชายฝาแฝดของหัวโจกได้ใช้ของแข็งขว้างกระจกหน้าต่างบ้านแตก และยังได้ข่มขู่จะทำร้ายร่างกาย ซึ่งเราได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แต่คดีไม่มีความคืบหน้า

วิธีที่สอง กดดันด้วยการทำลายสุขภาพ
โดยใช้ควันไฟ กลิ่นขยะ และกลิ่นสารเคมีชนิดต่างๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นการทำร้ายแบบเงียบๆแต่ส่งผลรุนแรง นับเป็นการบ่อนทำลายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในระยะปัจจุบันจะใช้วิธีนี้เป็นหลัก ซึ่งการก่อกวนวิธีนี้จะมาจากทุกทิศทางรอบบ้าน
การใช้กลิ่นสารต่างๆรบกวนทำให้เราต้องปิดประตูหน้าต่างด้านริมคลองและด้านข้างทั้งหมดเกือบตลอดเวลา จะเปิดบ้างก็เพื่อระบายอากาศเมื่อมีโอกาสเท่านั้น และเปิดหน้าต่างด้านที่มีการรบกวนน้อยกว่าไว้ แต่ก็ต้องคอยระวัง บางครั้งต้องเปิดพัดลมถึงสี่เครื่องพร้อมกันเพื่อไล่กลิ่นควันและสารต่างๆที่เข้ามา ช่วงใดที่พวกนี้ต้องการกดดันเราหนักๆจะมีการระดมรมควันและสารเคมีจากทุกทิศทางทั้งคืน บางครั้ง 3-4 คืนติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการใช้กลิ่นควันและสารเคมีรมเราตอนกลางคืนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากคืนใดเราได้อากาศบริสุทธิ์ นั่นจึงเป็นเรื่องผิดปกติ
การกดดันด้วยควันไฟ กลิ่นขยะและสารเคมีต่างๆ หากดูเผินๆอาจคิดว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง แต่สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง และกลิ่นขยะที่เต็มไปด้วยแบคทีเรีย เมื่อร่างกายต้องรับสารนี้เข้าไปทุกวันๆ ถึงแม้จะปริมาณไม่มาก แต่การรับสารนี้เข้าไปอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ในระยะสั้น ร่างกายจะอ่อนเพลียอยู่เสมอ ไม่สบาย เจ็บป่วยง่าย มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ ผิวหนังแสบร้อนระคายเคือง เป็นการกดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนในระยะยาวก็สามารถเล็งเห็นผลได้ว่าจะเป็นอย่างไร หากเราต้องล้มเจ็บด้วยโรคร้ายเพราะกระทำเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับฆาตกรรม นับเป็นความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

วิธีที่สาม การกดดันทางด้านเศรษฐกิจ
เป็นการทำลายความสามารถทางการเงินของเราทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เมื่อเริ่มค้นหาความจริงเรื่องการตายของพี่ชาย เราก็ถูกกดดันทางเศรษฐกิจมาตลอดโดยเริ่มจากต้นปี 2538 คนเช่าบ้านบอกเลิกสัญญาเช่า 3 ปีกระทันหัน ทั้งๆที่เพิ่งทำสัญญาเช่าได้ไม่กี่เดือน  โชคยังดีที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

วิธีที่สี่ ทำลายหรือลดความน่าเชื่อถือ
โดยการปล่อยข่าว ใส่ร้ายป้ายสีเรา สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขวและใช้เป็นข้ออ้างบังหน้าในการร่วมกันกดดันเรา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมายที่จะปล่อยข่าวหรือป้ายสีด้วย คิดว่าเรื่องหลักที่ใช้ในการป้ายสีเพื่อให้ง่ายต่อการดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมประเภท “ร่วมด้วยช่วยกัน” คืออะไร ทุกคนคงจะทราบดี นอกจากนี้ยังใช้วิธีการยั่วยุให้โกรธเพื่อที่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาท แล้วเอาไปปล่อยข่าวป้ายสีเรา บ่อยครั้งที่พวกนี้ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการก่อกวน โดยบางครั้งถึงกับให้เด็กด่าว่าเราอย่างหยาบคายเพื่อยั่วให้มีปัญหากับเด็ก ซึ่งจะใช้เป็นจุดในการป้ายสีได้เป็นอย่างดี


สิ่งหนึ่งที่พวกนี้พยายามทำอยู่ตอนนี้คือ พยายามให้เรื่องราวออกมาในลักษณะที่ว่าสภาพปัญหาต่างๆที่เป็นอยู่ เป็นเพราะเรามีเรื่องส่วนตัวกับคนทั่วไป ไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้มีอิทธิพลอย่างที่เรากล่าวอ้าง...

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

Thursday, October 28, 2004

ความเป็นมา


        เหตุการณ์สำคัญของเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อดิฉัน ภัทรา จิตรปฏิมา อายุย่างเข้า 40 ปี

        วันที่ 1 มกราคม 2538 ดิฉันทราบเรื่องการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพี่ชายคนเดียวของดิฉันขณะที่ดิฉันและสามีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ดิฉันสงสัยว่าพี่ชายถูกวางยาพิษจึงเดินทางกลับประเทศไทย 3 วัน เพื่อแจ้งความเรื่องการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติของพี่ชายที่กองปราบปรามเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2538 ตอนแรกคดีทำท่าจะดำเนินไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่ต่อมาดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดชะงัก ทำให้ดิฉันตระหนักว่าคดีนี้เป็นคดีอิทธิพลที่มีความสลับซับซ้อน จนกระทั่งคดีไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสะดุดลงที่ผลการชันสูตรศพที่มีข้อน่าสงสัยหลายประการ

        ตั้งแต่เริ่มจำความได้ดิฉันมักได้ยินแม่พูดเรื่องดิฉันมีที่ดินในซอยเอกมัย  ที่ดินแปลงนี้พ่อใช้ปลูกบ้านที่แม่อยู่กับดิฉันและพี่ชายตอนเด็กๆ ตัวพ่อเองไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่วนพี่ชายของดิฉันมีที่ดินในซอยสุขุมวิท 50 ตอนเล็กๆดิฉันได้ยินแม่พูดเรื่องที่ดินพวกนี้บ่อยแต่ดิฉันไม่ได้สนใจอะไรเพราะความเป็นเด็ก ต่อมาเมื่อดิฉันอายุครบ 20 ปี คุณปู่ซึ่งเป็นอดีตนายช่างรังวัดของกรมที่ดิน ถามว่าโฉนดที่ดินของดิฉันอยู่กับใคร เมื่อดิฉันบอกว่าไม่ทราบ คุณปู่ก็เขียนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ให้ ทั้งเลขที่โฉนด เลขที่ดิน ระวางที่ดิน ฯลฯ คุณปู่ยังจำได้ทุกอย่าง คุณปู่บอกด้วยว่าที่ดินของดิฉันแปลงนี้พ่อวางเงินมัดจำจองไว้แล้วคุณปู่ออกเงินซื้อทั้งหมด (ตอนซื้อที่แปลงนี้ดิฉันอายุเพียงสองขวบ) ซึ่งคุณย่าพอใจมาก ต่อมาดิฉันถามแม่เรื่องโฉนดที่ดิน แม่บอกว่าพ่อให้แม่เป็นคนเก็บโฉนดที่ดินไว้

        นอกจากนี้คุณปู่ ยังใส่ชื่อพี่ชายของดิฉันตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับอาอีกสองคนตรงสี่แยกบ้านแขก ซึ่งทำเป็นห้องแถวให้เช่า หลังจากคุณปู่คุณย่าเสียชีวิตไปแล้ว อาคนหนึ่งบอกให้พี่ชายของดิฉันทำหนังสือรับรองให้อาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ดินแปลงนี้แลกกับรายได้ประจำเดือน เป็นเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2533 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2537 แต่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2537 พี่ชายดิฉันก็ล้มเจ็บกระทันหันด้วยอาการของคนที่ได้รับสารพิษชนิดหนึ่งและสิ้นใจในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่โดยไม่มีหมอมารักษาเลย มีพยาบาลให้น้ำเกลือเท่านั้น

        ดิฉัน เริ่มการศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสมถวิล (พระโขนง) พอถึงชั้นประถมหกก็ไปอยู่โรงเรียนศรีวิกรม์ หลังจากพ่อแม่ของดิฉันหย่ากันแล้วดิฉันเข้าเรียนต่อชั้นประถมเจ็ดที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ดิฉันเรียนที่นี่จนจบชั้น ม.ศ.5  ปี 2517 ดิฉันเข้าศึกษาปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และได้พบกับสามีซึ่งเป็นที่พึ่งให้ดิฉันมาจนทุกวันนี้ เราเรียนคณะเดียวกัน ชั้นปีเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน ตอนนั้นดิฉันอายุย่าง 19 ปี

        พ.ศ. 2533 หลังจากทำงานมาเกือบ 12 ปี สามีของดิฉันลาออกจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปี 2534 เราเดินทางไปใช้ชีวิตที่ประเทศแคนาดา 3 ปี สามีไปศึกษาต่อด้านคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น แต่ตอนหลังสามีจะต้องย้ายไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี  ตอนนั้นคิดว่าจะทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯจากแคนาดาเพื่อความสะดวกในการขนย้ายและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สถานกงสุลสหรัฐฯที่นั่นให้เรากลับมาทำวีซ่าที่เมืองไทย กลางปี 2537 เราจึงต้องกลับเมืองไทยกระทันหันเพื่อทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ดิฉันคิดว่าอาจต้องใช้หลักทรัพย์ประกอบการขอวีซ่า จึงไปขอโฉนดที่ดินเอกมัยที่ดิฉันฝากแม่ไว้ และพบว่ามีชื่อของน้องชายต่างบิดาถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยโดยที่ดิฉันไม่ทราบมาก่อน หลายปีก่อนที่ดิฉันจะไปเมืองนอกแม่ขอแบ่งซื้อที่ดินของดิฉัน100 ตร.วา โดยใส่ชื่อน้องสาวต่างบิดาไว้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อีกคนร่วมกับดิฉัน แต่มีอุปสรรคบางอย่างซึ่งไม่ได้เกิดจากดิฉันทำให้เวลานั้นยังไม่ได้แยกโฉนด กลับมาคราวนี้ดิฉันจึงขอแยกโฉนดทันทีและต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะทำสำเร็จ

        ดิฉันมีเวลาอยู่เมืองไทยแค่เดือนเดียวก็ต้องเดินทางต่อไปสหรัฐอเมริกา ได้พูดโทรศัพท์กับพี่ชายซึ่งอยู่ที่ลพบุรีหนเดียวเท่านั้น และไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายของเรา พี่ชายของดิฉันเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คอยช่วยเหลือดิฉันตอนเด็กๆเสมอ เขาเป็นคนสู้ชีวิตและรักลูกมาก

        กลางปี 2539 หลังจากที่สามีจบการศึกษา เราเดินทางกลับประเทศไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ถูกกดดันกลั่นแกล้ง สารพัดต่อเนื่องมาตลอด ทั้งจากหน่วยงานของรัฐและคนในเครือข่ายอุปถัมภ์ของผู้มีอิทธิพลระดับสูง และด้วยความร่วมมือของกลุ่มผลประโยชน์ที่อิงอยู่กับเครือข่ายนี้ เราตอบโต้ด้วยการร้องเรียนหน่วยงานราชการต่างๆอย่างต่อเนื่อง จนเรื่องชักจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ การกดดันก็เปลี่ยนแปลงแยบยลมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อจัดการเราตรงๆไม่ถนัด ก็ใช้วิธีการ ใส่ร้าย ป้ายสี กดดันทุกรูปแบบในทุกที่ทุกโอกาส ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน เพื่อบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าเราขาดสติ ก็อาจพลาดท่าเสียทีได้ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราตามที่เล่ามานี้ ก็ใช้เวลาเรียนรู้จากการถูกกระทำอยู่นาน ดิฉันรู้จากเพื่อนว่ามีการใช้อิทธิพลสั่งการเพื่อทำให้ดิฉันบ้าตายไปเลย ให้ดิฉันทำลายตัวเอง เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง มิเช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้มีอันเป็นไปเงียบๆ หรือถูกกลั่นแกล้งกดดันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โชคดีที่เราไม่มีลูก หาไม่แล้วลูกของเราต้องตกเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขาอย่างแน่นอน

        ดิฉันจัดการเผาศพพี่ชายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2542 ด้วยความหวังว่าจะยุติปัญหาทั้งปวงได้ และพี่ชายจะได้ไปสู่สุขคติเสียที ตอนแรกดิฉันคิดว่าหลังเผาศพพี่แล้วจะไปถอนแจ้งความ แต่เรากลับถูกกดดันต่อเนื่อง เลยคิดว่าการถอนแจ้งความจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวดิฉันมากกว่า

        อิทธิพลมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ ทำให้พี่ชายของดิฉันถูกฆาตกรรมอย่างอำมหิตและเลือดเย็นได้ง่ายๆอย่างนี้เอง ใครเรียกร้องความเป็นธรรมก็จะถูกกดดันหนัก แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ดิฉันเชื่อว่า ในที่สุดกรรมจะทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา


มุมมองของภัทรา

Monday, October 25, 2004

สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย ~

เมื่อวานไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์ มีการจุดไฟเผาขยะเป็นจุดๆตลอดเส้นทาง ไม่รู้ว่าปกติจุดไฟกันมากอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเพิ่งไปปั่นเป็นครั้งแรก มีอยู่จุดหนึ่งไม่รู้เผาอะไร ไม่เห็นควัน แต่พอได้กลิ่น ร่างกายแทบหยุดทำงาน แน่นปอด 


เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2547 ดูข่าวทีวี คนงานลงไปในห้องอบเมล็ดข้าวที่โรงสีข้าวแห่งหนึ่งแล้วเป็นลมหมดสติ เพื่อนๆพากันลงไปช่วย แล้วทุกคนก็เป็นลมหมดสติตามไปด้วย ตอนนี้คนงานเหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว 6 คน จากการตรวจสอบพบว่าในห้องดังกล่าวมีกาซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงกว่ามาตรฐานมาก ดูข่าวนี้แล้วทำให้นึกถึงสภาพที่เราโดนรมควันและสารเคมีอยู่ทุกวันทุกคืน หลายคืนที่ตื่นขึ้นมาเพลียมาก อันตรายมากๆ … 

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...