เช้าวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ย. 2547 ผมไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์เหมือนอาทิตย์ก่อนๆ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ลมแรงพัดมาจากทิศตะวันออก ทำให้การปั่นเที่ยวขาไปต้องออกแรงมากหน่อย แต่ขากลับปั่นตามลม ทำความเร็วได้ดีทีเดียว หลังจากปั่นไปประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาที ผมกลับมาที่รถและพบว่าลืมปิดไฟหน้า ใจคอไม่ดี ถ้าสตาร์ทไม่ติดจะทำยังไง แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนและไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยเข็นด้วย ขึ้นรถบิดกุญแจ เงียบสนิท แบตหมดแน่ๆ ผมลงจากรถมองไปรอบๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเตรียมร้านซึ่งตั้งอยู่บนทางเท้าฝั่งตรงข้าม แต่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกประมาณร้อยกว่าเมตร เข้าใจว่าเป็นร้านอาหาร ผมตัดสินใจเดินไปที่นั่น
เธออายุประมาณ 30 ปี นุ่งกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมศรีษะแบบหญิงมุสลิมทั่วไป ผมเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดว่าต้องการอะไร เธอก็พูดขึ้นเองว่า “จะให้ช่วยเข็นรถใช่ไหม” ผมตอบว่า “ใช่” เธอไม่มีทีท่ารำคาญที่เราไปขัดจังหวะการทำงานของเธอเลย เธอสื่อสารกับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซื่อๆ เต็มอกเต็มใจ เธอหันหลังเดินไปที่บ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตรติดริมถนน ได้ยินเสียงเธอเรียก “บังๆ” และพูดบางอย่างกับชายคนนั้น ชายวัย 30 เศษ รูปร่างแกร่ง ไม่อ้วนไม่ผอม เดินมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กระตือรือร้น เขานุ่งกางเกงขายาวสีเทาหม่นๆกับเสื้อแขนสั้นปล่อยชายสีเดียวกัน สวมหมวกไหมพรมสีครีม บังเป็นพี่ชายของผู้หญิงคนนั้น บังเข็นที่ท้ายรถ ส่วนผมเข็นที่ประตูคนขับ พอความเร็วได้ที่ผมกระโดดขึ้นรถ เข้าเกียร์สอง ปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่ง เครื่องติดอย่างง่ายดาย พอรถติดบังก็หันหลังข้ามถนนเดินกลับบ้าน ผมต้องรีบตะโกนขอบคุณเขา
ผมปล่อยให้เครื่องเดินอยู่ประมาณห้านาที ระหว่างนั้นผมวิ่งอยู่บนไหล่ถนนไม่ห่างจากรถนัก เมื่อแน่ใจว่ามีไฟพอแล้ว ผมดับเครื่องและวิ่งต่อ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและวกกลับถึงรถเมื่อวิ่งไปได้สามสิบนาที หลังจากดื่มน้ำดับกระหาย ผมเตรียมตัวกลับบ้าน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก เครื่องสตาร์ทไม่ติด เงียบเหมือนครั้งก่อน เป็นไปได้ยังไง เราเพิ่งเปลี่ยนแบตเมื่อหกเดือนก่อน แบตไม่น่าจะเสื่อมถึงกับเก็บไฟไม่อยู่ สงสัยไดสตาร์ทจะมีปัญหา แต่เราก็เพิ่งเปลี่ยนไดสตาร์ทพร้อมกับแบตลูกนี้นี่นา หรือว่าจะเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้เหมือนแอร์รถที่เปลี่ยนทุกอย่างแม้แต่ตัวคอมเพรสเซอร์ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้จนทุกวันนี้ผมเลิกใช้แอร์ไปแล้ว มันคงเป็นโรคประจำตัวผมกระมัง
ผมเดินกลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไม่ทันจะพูดอะไรมาก เธอก็พูดขึ้นเหมือนเดิม “จะให้ช่วยเข็นอีกใช่ไหม” ผมเองก็เกรงใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “รบกวนอีกสักครั้ง” เธอไปตามบังมาอีก บังยังคงยิ้มแย้มอารมณ์ดีเหมือนครั้งแรก เมื่อเข็นรถเครื่องติดแล้ว ผมจะให้สตางค์บัง แต่บังปฏิเสธ (ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกแล้ว!) ผมนึกขึ้นมาได้ว่ามีส้มอยู่สองลูกกับขนมปังใส้ถั่วแดงหนึ่งก้อนที่เตรียมมากินหลังออกกำลัง ผมชะโงกเข้าไปในรถ คว้าส้มหนึ่งลูกกับขนมปังไส้ถั่วแดง ยื่นใส่มือบังพร้อมกับพูดว่า “แบ่งกัน” ผมขอบคุณบังก่อนที่เขาจะข้ามถนนกลับไป พอจัดการอะไรอีกนิดหน่อยเสร็จเรียบร้อย ผมกลับรถขับผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว บังยังคงยืนอยู่กับน้องสาว บังเคี้ยวอะไรบางอย่างในปาก อาจเป็นส้มหรือขนมปังที่เพิ่งได้ไปจากผม ทั้งสองคนยิ้มแย้มโบกมือกับผม พวกเขายิ้มจากใจจริงๆ ผมสัมผัสได้ ผมเชื่อว่าพวกเขาก็สัมผัสได้เช่นกัน น้ำใจ ความโอบอ้อมอารี และ …มิตรภาพ… สิ่งดีๆที่ขาดหายไปจากชีวิตผมนานมากแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าเหตุการณ์จะผันแปรอย่างไร อำนาจนอกระบบจะบีบให้คนต้องเปลี่ยนไปขนาดไหน ผมจะจดจำความประทับใจนี้ไว้ …รอยยิ้มแห่งมิตรภาพของสองพี่น้องบ้านม้า…