Saturday, December 18, 2004

บันทึกความทรงจำ ...ไตรกีฬาที่บ้านเพ...



เช้าวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2547 ผมขับรถออกจากบ้านที่กรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่บ้านเพ จังหวัดระยอง ผมอยากให้ภรรยามาด้วย อยากให้เธอได้มาพักผ่อนบ้าง แต่เพราะข้อจำกัดบางประการ เราจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่มาเพคือเมื่อยี่สิบปีก่อน ครั้งนั้นผมมาพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งกับภรรยา ในความทรงจำที่ค่อนข้างเลือนลาง ชายหาดบริเวณนี้เงียบสงบ บริสุทธิ์ เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราจำได้ไม่ลืม ขณะที่ผมและภรรยากำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารของรีสอร์ท มีชายคนหนึ่งเข้ามาในร้านอาหารและตรงไปที่พนักงานต้อนรับซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ หลังจากที่ชายผู้นี้ออกไปแล้ว พนักงานต้อนรับซึ่งเป็นเด็กสาวท่าทางเฉลียวฉลาดเดินเข้ามาหาและพูดว่า “ผู้ชายคนนั้นถามหาคุณ…(เธอเอ่ยชื่อผม) แต่เห็นว่าพี่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ (ความหมายของเธอคือถ้ารู้จักกันก็ไม่น่าจะต้องมาถามเธออีก) เลยบอกเขาไปว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ที่นี่” ผมขอบคุณเธอและปฏิภาณไหวพริบของเธอ ชื่อผมก็ไม่โหล ทุกวันนี้ เมื่อไรที่เรานึกถึงเรื่องนั้น เราจะนึกขอบคุณที่เธอไม่ชี้มาที่ผม ขอบคุณครับ
ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แวะซื้อน้ำดื่มที่ปั๊มน้ำมันระหว่างทาง ผมไปถึงทางเข้าหาดแม่รำพึงก่อน 9 โมงเช้าเล็กน้อย ขณะขับรถเลียบชายหาดผมกวาดตามองหาที่พักไปด้วย เล็งที่น่าสนใจไว้สองสามแห่ง แต่ยังไม่ตัดสินใจ

เมื่อสุดชายหาดก็เลี้ยวซ้ายวกอ้อมไปทางขวาสู่บ้านเพตามคำบอกของคนท้องถิ่น ผมจอดรถใกล้ๆสำนักงานเทศบาลตำบลเพแล้วเดินไปสมัครลงระยะโอลิมปิก(ว่ายน้ำ 1.5 K ปั่นจักรยานประมาณ 40 K วิ่ง 10 K)ที่เต๊นท์อำนวยการ รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ ผมได้รับเบอร์ติดเสื้อ เบอร์ติดจักรยาน ถุงอุปกรณ์ และเสื้อยืดที่ระลึก เสร็จแล้วขับไปที่ไพน์บีชโฮเตลซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกล ห้องที่เหลือราคาค่อนข้างแพง คิดว่าน่าจะลองไปหาพี่พักแถวหาดแม่รำพึงดู เงินที่เหลือจะได้เป็นค่าน้ำมันรถขากลับ ผมตัดสินใจกลับไปหาดแม่รำพึงและเลือกที่พักแห่งหนึ่งจากสองสามแห่งที่หมายตาไว้โดยใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์

หลังจากเอาของเข้าเก็บในห้องพักและโทรศัพท์รายงานผบ.ทบ.ว่าถึงที่หมายแล้ว ผมออกไปปั่นจักรยานเบาๆบนถนนเลียบชายหาด พบว่าที่พักอยู่ไม่ไกลจากลานหินขาว ปั่นอยู่ไม่นานก็กลับที่พัก อาบน้ำแล้วทานข้าวกลางวันที่ภรรยาเตรียมมาให้จากบ้าน ผมฆ่าเวลาด้วยการปรับเกียร์เพราะพบปัญหาตอนออกไปปั่นเลียบชายหาด และผมก็ได้ฆ่าเวลาจริงๆ ความเป็นมือใหม่ทำให้ผมต้องเสียเวลากับมันอยู่นาน แต่ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ ขอบคุณพระเจ้า!

ผมดูทีวีบ้าง นอนเล่นบ้าง จนห้าโมงกว่าก็ทานข้าวเย็น แล้วขับรถไปฟังบรรยายสรุปเส้นทางการแข่งขันที่เทศบาลตำบลเพ ซื้อสายรัดสำหรับติดเบอร์มาหนึ่งเส้น กำลังอยากได้พอดี กลับไปห้องพัก ผมจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันจะอาบน้ำนอนผมได้กลิ่นควันไฟเข้ามาในห้อง ผมไม่ตกใจ ไม่ได้คิดว่ามีไฟไหม้ที่ไหน เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่บ้านที่กรุงเทพทุกวัน ก่อนมาก็คิดไว้เหมือนกันว่าอาจจะมาเจออะไรแบบนี้ที่นี่ ผมเปิดประตูห้องออกไป ข้างนอกมีกลิ่นควันไฟค่อนข้างแรง แต่ไม่เห็นต้นตอของควันไฟ คงจะมาจากที่ไหนสักแห่งแถวๆนั้น ผมวุ่นอยู่กับการระบายอากาศและหาทางป้องกันไม่ให้ควันไฟแทรกเข้ามาตามร่องตามรูต่างๆ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผล จนกระทั่งดึก กลิ่นควันไฟจึงจางลง ผมอาบน้ำแล้วเข้านอนร่วมกับกลิ่นควันไฟที่ติดอยู่ในห้อง ผมไม่ชอบมันเลย เพราะมันทำให้ผมมีปัญหาเจ็บป่วยด้วยโรคในระบบทางเดินหายใจหลายครั้งในช่วงสองสามปีมานี้ และทำให้แผนการลงแข่งไตรกีฬาของผมเมื่อกลางปีต้องล้มเลิกไป

หลับไปได้สักสองสามชั่วโมง ผมต้องตืนขึ้นอีกครั้งเพราะอึดอัดหายใจไม่ค่อยออก และพบว่าอากาศในห้องแย่มากๆ มีกลิ่นคล้ายสารเคมีบางอย่างอบอวลอยู่ในห้อง ผมต้องเปิดประตูหน้างต่างเพื่อระบายอากาศ โชคดีที่ควันไฟหายไปแล้ว เมื่ออากาศในห้องดีขึ้น ผมนอนต่อ คราวนี้ผมนอนโดยมียุงเป็นเพื่อน

เสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2547 ผมตื่นแต่เช้า หลังจากอาบน้ำและเติมพลังงานเรียบร้อยแล้ว ประมาณหกโมงครึ่งผมปั่นจักรยานไปลานหินขาว เป็นเช้าที่ดี ผมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างหิวโหย ที่ลานหินขาวมีนักไตรกีฬาจำนวนมากไปถึงก่อนผม หลังจากนำจักรยานและอุปกรณ์เข้าที่ ผมมองดูบรรยากาศรอบๆ ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกสองภาพ หลังการบรรยายสรุปยังมีเวลาเหลือ ผมวิ่งเบาๆเพื่ออบอุ่นร่างกาย ความรู้สึกขณะนั้นยากที่จะอธิบาย ไม่ถึงกับตื่นเต้น มีความพึงพอใจที่กำลังจะได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำมานาน ความมุ่งมั่นกับไตรกีฬาครั้งแรกทำให้ผมไม่ใส่ใจกับสิ่งรบกวนภายนอก และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง

7.30 น. นายกสมาคมไตรกีฬาแห่งประเทศไทยปล่อยตัวนักไตรกีฬา คิดว่าทุกคนวิ่งลงทะเล แต่ผมไม่ได้วิ่ง คิดในใจว่าเป้าหมายคือทำให้จบ ผมว่ายน้ำอยู่กลุ่มท้ายๆ สองคนที่อยู่ข้างหน้าผมตลอดรอบแรกว่ายกบคู่กัน ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างจะแปลกใจ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครว่ายกบในการแข่งขันไตรกีฬา คนหนึ่งเป็นฝรั่ง ส่วนอีกคนคิดว่าเป็นคนไทย เมื่อจบรอบแรก ผมสับสน ลืมไปว่าสำหรับระยะโอลิมปิกให้อ้อมธงที่ชายหาดแล้วลงทะเลเลย กลับไปจำว่าให้วิ่งอ้อมขึ้นไปบนลานหินขาวซึ่งจริงๆแล้วต้องทำเมื่อว่ายน้ำเสร็จ ผมจึงเดินไปที่ลานหินขาวแล้ววิ่งขึ้นอ้อมมาลงทางโขดหิน ลงทะเลว่ายน้ำรอบที่สอง

รอบที่สองนี่เหมือนว่ายอยู่คนเดียวในทะเล สองคนที่ว่ายอยู่ข้างหน้าตลอดรอบแรกหายไปแล้ว ผมว่ายไปเรื่อยๆ เงยหน้ามองทุ่นธงสมเด็จเป็นระยะๆ ไม่รู้เป็นยังไง รู้สึกเหมือนทุ่นธงสมเด็จลอยหนีออกไปเรื่อยๆ ต่างกับรอบแรกที่รู้สึกว่าไม่ไกล เมื่ออ้อมทุ่นธงสมเด็จแล้ว ผมว่ายได้ไม่กี่สโตรกก็ต้องหยุด ผมหาทุ่นธงในหลวงไม่เจอ มองไปในทะเลเปิดก็ไม่มี มองเข้ามาทางฝั่งก็ไม่มี มีแต่ทุ่นเปล่าๆไม่มีธงลอยอยู่ข้างหน้าหนึ่งทุ่น ผมตัดสินใจว่ายไปที่ทุ่นนั้น เมื่อว่ายไปถึง ผมถามคนบนเรือซึ่งในรอบนี้มาลอยอยู่ใกล้ทุ่นว่า “ทุ่นนี้ใช่ไหม” คนบนเรือตอบว่า “ใช่” จริงๆแล้วคำถามของผมไม่สมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าเข้าใจกัน เมื่อได้รับคำตอบว่าใช่ ผมอ้อมทุ่นว่ายเข้าฝั่งทันที การว่ายน้ำเข้าฝั่งคนเดียวในทะเล (อาจมีคนอื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังผมอีก แต่ขณะนั้นผมมองไม่เห็นใครเลย) เป็นความรู้สึกที่พิเศษจริงๆ ผมกำลังทำสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต หรือแม้แต่คิดจะทำ (ก่อนที่จะตัดสินใจฝึกไตรกีฬา) เหมือนมีแต่ผมกับฝั่งที่อยู่ข้างหน้า และผมจะต้องไปถึงมันให้ได้

ถึงฝั่งแล้ว ผมได้รับน้ำใจใสสะอาดเป็นน้ำเย็นสองแก้ว ผมจัดการกับจุดเปลี่ยนที่ 1 อย่างเชื่องช้า แล้วปั่นจักรยานออกจากจุดเริ่มต้น เมื่อถึงจุดที่ต้องเลี้ยวขวาเข้าไปในไร่ ผมบิดแฮนด์ ทันใดนั้น มีเสียงผู้หญิงร้องขึ้นจากด้านหลัง เป็นผู้หญิงจากมาเลเซียที่ขึ้นฝั่งเป็นคนสุดท้ายนั่นเอง ตอนนั้นงงๆ ผมบิดแฮนด์กลับ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเราอาจตัดหน้าเขา แต่ตอนนี้เขาคงรู้ตัวแล้ว แล้วผมก็บิดแฮนด์จะเลี้ยวขวาอีกครั้ง เธอร้องเสียงหลง เธอเข้ามาอยู่ใกล้ผมมาก ด้วยความตกใจผมบิดแฮนด์กลับอย่างรวดเร็ว รถเสียหลักล้มลง โชคดีที่เพิ่งออกจากจุดสตาร์ท ความเร็วรถยังไม่มาก ข้อศอกถลอกเล็กน้อย ผมเห็นเธอปั่นตรงไปตามถนนเลียบชายหาด เธอเหลียวหน้ากลับมาพร้อมกับสบถเป็นภาษาอังกฤษ “ชิต” พอรู้ว่าตัวเองปั่นผิดทางเธอกล่าวขอโทษแล้วกลับรถปั่นเข้าไร่ไป มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน คือคิดว่าทุกคนรู้ว่าต้องเลี้ยวเข้าไร่ตรงนี้ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนกำกับอยู่ตรงนั้นด้วย แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ทำให้ในรอบที่สอง เมื่อมีกลุ่มจักรยานปั่นมาทันผมที่จุดนี้ ผมกางแขนขวาออกเต็มที่เพื่อบอกให้รู้ว่าผมจะเลี้ยวขวา

ไม่กี่อึดใจผมก็ทันผู้หญิงคนนั้น ผมผ่านเธอไปเงียบๆ การปั่นของผมไม่ต่างจากตอนซ้อม เป้าหมายยังคงเหมือนเดิมคือ ทำให้ครบ ต้องประคองตัวไม่ให้อาการบาดเจ็บที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนแข่งกำเริบ ช่วงการปั่นผ่านไปด้วยดี หากไม่นับรถสองแถวและรถบรรทุกที่วิ่งช้าๆปล่อยควันดำอยู่ข้างหน้า (ผมปั่นคนเดียว ไม่มีกลุ่ม)

เมื่อเริ่มวิ่งยังมีคนวิ่งหลายคน วิ่งไปวิ่งไปคนก็น้อยลงเรื่อยๆ ระหว่างทางผมได้รับน้ำใจจากผู้ร่วมแข่งขันสองคน หนึ่งในสองคนนี้ผมจำเขาได้ เราไม่ได้พูดกันเลย ซึ่งก็ไม่จำเป็น ผมรู้สึกถึงความเป็นมิตร สำหรับผม เขาคือ “นักกีฬา” เพราะนอกจากเขาจะเป็น "นักไตรกีฬา" แล้ว เขามี "จิตใจเป็นนักกีฬา" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นนักกีฬาด้วย

ผมวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยความสดชื่น ผมตบมือให้ตัวเอง ผมได้ทำและทำสำเร็จในสิ่งที่ผมปรารถนา ระหว่างเก็บของ ภรรยาผมโทรศัพท์เข้ามาแสดงความยินดี เราพูดกันไม่มากเพราะผมต้องรีบปั่นจักรยานกลับที่พัก ผมต้องออกจากที่นั่นภายในเที่ยงครึ่งตามที่ตกลงกันเนื่องจากมีลูกค้าจองห้องพักไว้ อาบน้ำเสร็จผมหยิบเสื้อยืดที่ระลึกการแข่งขันไตรกีฬาครั้งนี้ออกมาใส่อย่างภาคภูมิใจ ผมทำสำเร็จแล้ว

เลยเที่ยงครึ่งไปเล็กน้อย ผมขับรถกลับกรุงเทพ ระหว่างทางแวะซื้อของในปั๊มน้ำมันทานเป็นข้าวกลางวัน ผมถึงบ้านประมาณสี่โมงเย็น สิ่งแรกที่ผมทำคือเอาเหรียญไตรกีฬาที่ได้คล้องคอภรรยา ผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างผมมาตลอดไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด สำหรับเรา แม้เหรียญนี้จะไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่เหรียญนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เธอรู้ดีว่ากว่าจะมีวันนี้ผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง การเจ็บป่วยเนื่องจากสารพิษที่ระดมปล่อยเข้ามาในบ้าน การฝึกซ้อมที่การกดดันกลั่นแกล้งติดตามผมไปดั่งเงาตามตัว ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่ง ซ้อมปั่นจักรยาน หรือซ้อมว่ายน้ำ “…มีเรื่องราวต่างๆมากมายบันทึกอยู่ในเหรียญนี้…”