เหตุการณ์สำคัญของเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อดิฉัน ภัทรา จิตรปฏิมา อายุย่างเข้า 40 ปี
วันที่ 1 มกราคม 2538 ดิฉันทราบเรื่องการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพี่ชายคนเดียวของดิฉันขณะที่ดิฉันและสามีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ดิฉันสงสัยว่าพี่ชายถูกวางยาพิษจึงเดินทางกลับประเทศไทย 3 วัน เพื่อแจ้งความเรื่องการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติของพี่ชายที่กองปราบปรามเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2538 ตอนแรกคดีทำท่าจะดำเนินไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่ต่อมาดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดชะงัก ทำให้ดิฉันตระหนักว่าคดีนี้เป็นคดีอิทธิพลที่มีความสลับซับซ้อน จนกระทั่งคดีไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสะดุดลงที่ผลการชันสูตรศพที่มีข้อน่าสงสัยหลายประการ
ตั้งแต่เริ่มจำความได้ดิฉันมักได้ยินแม่พูดเรื่องดิฉันมีที่ดินในซอยเอกมัย ที่ดินแปลงนี้พ่อใช้ปลูกบ้านที่แม่อยู่กับดิฉันและพี่ชายตอนเด็กๆ ตัวพ่อเองไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่วนพี่ชายของดิฉันมีที่ดินในซอยสุขุมวิท 50 ตอนเล็กๆดิฉันได้ยินแม่พูดเรื่องที่ดินพวกนี้บ่อยแต่ดิฉันไม่ได้สนใจอะไรเพราะความเป็นเด็ก ต่อมาเมื่อดิฉันอายุครบ 20 ปี คุณปู่ซึ่งเป็นอดีตนายช่างรังวัดของกรมที่ดิน ถามว่าโฉนดที่ดินของดิฉันอยู่กับใคร เมื่อดิฉันบอกว่าไม่ทราบ คุณปู่ก็เขียนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ให้ ทั้งเลขที่โฉนด เลขที่ดิน ระวางที่ดิน ฯลฯ คุณปู่ยังจำได้ทุกอย่าง คุณปู่บอกด้วยว่าที่ดินของดิฉันแปลงนี้พ่อวางเงินมัดจำจองไว้แล้วคุณปู่ออกเงินซื้อทั้งหมด (ตอนซื้อที่แปลงนี้ดิฉันอายุเพียงสองขวบ) ซึ่งคุณย่าพอใจมาก ต่อมาดิฉันถามแม่เรื่องโฉนดที่ดิน แม่บอกว่าพ่อให้แม่เป็นคนเก็บโฉนดที่ดินไว้
นอกจากนี้คุณปู่ ยังใส่ชื่อพี่ชายของดิฉันตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับอาอีกสองคนตรงสี่แยกบ้านแขก ซึ่งทำเป็นห้องแถวให้เช่า หลังจากคุณปู่คุณย่าเสียชีวิตไปแล้ว อาคนหนึ่งบอกให้พี่ชายของดิฉันทำหนังสือรับรองให้อาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ดินแปลงนี้แลกกับรายได้ประจำเดือน เป็นเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2533 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2537 แต่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2537 พี่ชายดิฉันก็ล้มเจ็บกระทันหันด้วยอาการของคนที่ได้รับสารพิษชนิดหนึ่งและสิ้นใจในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่โดยไม่มีหมอมารักษาเลย มีพยาบาลให้น้ำเกลือเท่านั้น
ดิฉัน เริ่มการศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสมถวิล (พระโขนง) พอถึงชั้นประถมหกก็ไปอยู่โรงเรียนศรีวิกรม์ หลังจากพ่อแม่ของดิฉันหย่ากันแล้วดิฉันเข้าเรียนต่อชั้นประถมเจ็ดที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ดิฉันเรียนที่นี่จนจบชั้น ม.ศ.5 ปี 2517 ดิฉันเข้าศึกษาปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และได้พบกับสามีซึ่งเป็นที่พึ่งให้ดิฉันมาจนทุกวันนี้ เราเรียนคณะเดียวกัน ชั้นปีเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน ตอนนั้นดิฉันอายุย่าง 19 ปี
พ.ศ. 2533 หลังจากทำงานมาเกือบ 12 ปี สามีของดิฉันลาออกจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปี 2534 เราเดินทางไปใช้ชีวิตที่ประเทศแคนาดา 3 ปี สามีไปศึกษาต่อด้านคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น แต่ตอนหลังสามีจะต้องย้ายไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี ตอนนั้นคิดว่าจะทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯจากแคนาดาเพื่อความสะดวกในการขนย้ายและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สถานกงสุลสหรัฐฯที่นั่นให้เรากลับมาทำวีซ่าที่เมืองไทย กลางปี 2537 เราจึงต้องกลับเมืองไทยกระทันหันเพื่อทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ดิฉันคิดว่าอาจต้องใช้หลักทรัพย์ประกอบการขอวีซ่า จึงไปขอโฉนดที่ดินเอกมัยที่ดิฉันฝากแม่ไว้ และพบว่ามีชื่อของน้องชายต่างบิดาถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยโดยที่ดิฉันไม่ทราบมาก่อน หลายปีก่อนที่ดิฉันจะไปเมืองนอกแม่ขอแบ่งซื้อที่ดินของดิฉัน100 ตร.วา โดยใส่ชื่อน้องสาวต่างบิดาไว้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อีกคนร่วมกับดิฉัน แต่มีอุปสรรคบางอย่างซึ่งไม่ได้เกิดจากดิฉันทำให้เวลานั้นยังไม่ได้แยกโฉนด กลับมาคราวนี้ดิฉันจึงขอแยกโฉนดทันทีและต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะทำสำเร็จ
ดิฉันมีเวลาอยู่เมืองไทยแค่เดือนเดียวก็ต้องเดินทางต่อไปสหรัฐอเมริกา ได้พูดโทรศัพท์กับพี่ชายซึ่งอยู่ที่ลพบุรีหนเดียวเท่านั้น และไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายของเรา พี่ชายของดิฉันเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คอยช่วยเหลือดิฉันตอนเด็กๆเสมอ เขาเป็นคนสู้ชีวิตและรักลูกมาก
กลางปี 2539 หลังจากที่สามีจบการศึกษา เราเดินทางกลับประเทศไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ถูกกดดันกลั่นแกล้ง สารพัดต่อเนื่องมาตลอด ทั้งจากหน่วยงานของรัฐและคนในเครือข่ายอุปถัมภ์ของผู้มีอิทธิพลระดับสูง และด้วยความร่วมมือของกลุ่มผลประโยชน์ที่อิงอยู่กับเครือข่ายนี้ เราตอบโต้ด้วยการร้องเรียนหน่วยงานราชการต่างๆอย่างต่อเนื่อง จนเรื่องชักจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ การกดดันก็เปลี่ยนแปลงแยบยลมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อจัดการเราตรงๆไม่ถนัด ก็ใช้วิธีการ ใส่ร้าย ป้ายสี กดดันทุกรูปแบบในทุกที่ทุกโอกาส ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน เพื่อบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าเราขาดสติ ก็อาจพลาดท่าเสียทีได้ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราตามที่เล่ามานี้ ก็ใช้เวลาเรียนรู้จากการถูกกระทำอยู่นาน ดิฉันรู้จากเพื่อนว่ามีการใช้อิทธิพลสั่งการเพื่อทำให้ดิฉันบ้าตายไปเลย ให้ดิฉันทำลายตัวเอง เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง มิเช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้มีอันเป็นไปเงียบๆ หรือถูกกลั่นแกล้งกดดันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โชคดีที่เราไม่มีลูก หาไม่แล้วลูกของเราต้องตกเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขาอย่างแน่นอน
ดิฉันจัดการเผาศพพี่ชายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2542 ด้วยความหวังว่าจะยุติปัญหาทั้งปวงได้ และพี่ชายจะได้ไปสู่สุขคติเสียที ตอนแรกดิฉันคิดว่าหลังเผาศพพี่แล้วจะไปถอนแจ้งความ แต่เรากลับถูกกดดันต่อเนื่อง เลยคิดว่าการถอนแจ้งความจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวดิฉันมากกว่า
อิทธิพลมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ
ทำให้พี่ชายของดิฉันถูกฆาตกรรมอย่างอำมหิตและเลือดเย็นได้ง่ายๆอย่างนี้เอง
ใครเรียกร้องความเป็นธรรมก็จะถูกกดดันหนัก แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ดิฉันเชื่อว่า
ในที่สุดกรรมจะทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา
มุมมองของภัทรา