Thursday, September 22, 2022

มือที่มองไม่เห็น (Invisible Hand)


               เราปลูกกล้วยต้นหนึ่ง กำลังโต แต่แล้วก้านกล้วยก็ทะยอยถูกหักอย่างต่อเนื่องในยามวิกาล ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงตอนนี้ (๑๙ กันยายน ๒๕๖๕) นับได้ ๑๐ ก้านแล้ว (มีใบหนึ่งโดนหักสองครั้ง)

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ - ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ เป็นก้านที่ถูกหักก้านที่ ๓  ส่วนที่ลูกศรสีฟ้าชี้ถูกดึงอ้าออกไปทั้งกาบเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าที่ก้านลูกศรสีแดงชี้จะถูกหัก และยังมีอีกก้านที่ถูกดึงอ้าทั้งกาบแต่เราตัดออกไปแล้ว (ไม่มีในภาพ) – ถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านกล้วยถูกหักไปแล้ว ๓ ก้าน

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๔ – ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๔

ก้านที่ลูกศรสีเขียวกับสีฟ้าชี้เป็นก้านที่ถูกหักก้านที่ ๒ และ ๓

 

 


ก้านที่ลูกศรชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๑๙ – ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๕

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๒๗ – ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๖

ก้านที่ลูกศรสีฟ้าชี้คือก้านที่ถูกหักก้านที่ ๕

 


วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ เราพยายามซ่อมก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ โดยเอาเชือกฟางมาผูกดึงไว้ รู้ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ยังไม่อยากตัด กะว่ามันเหี่ยวแล้วค่อยตัด แต่คงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็น

 




กลางคืนของวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านที่เราซ่อมไว้ถูกหัก – ก้านนี้ถูกหักสองครั้ง

 


วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เราตัดก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ ออก (ตรงที่ลูกศรสีส้มชี้) ก็คงจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็นอีก เพราะมันดูดีเกินไป ขัดกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เราเสียความรู้สึกมากๆ

 


ทันทีที่เราตัดก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ ออก กลางคืนของวันที่ ๒๙ – ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก็ถูกหักอีกเป็นก้านที่ ๗ (ลูกศรสีแดง) เราเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ตัดออก เผื่อจะพอใจจะได้หยุดหัก......แต่ไม่ได้ผล

 


เว้นช่วงมาได้หนึ่งสัปดาห์ กลางคืนวันที่ ๕ – ๖ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก้านที่ ๘ ก็ถูกหัก (ก้านที่ถูกหักก้านที่ ๗ ยังห้อยคาอยู่ที่ต้น)

 


ลูกศรแดงคือก้านที่ ๘ ที่ถูกหัก ลูกศรฟ้าคือก้านที่ ๗ ที่ถูกหัก ห่างกันหนึ่งสัปดาห์

 


ครั้งนี้เว้นช่วงนานหน่อย ๑๑ วัน กลางคืนวันที่ ๑๖ – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านที่ ๙ ถูกหัก(ลูกศรสีแดง)  ส่วนลูกศรฟ้าคือก้านที่ ๘ ที่ถูกหักเมื่อคืนวันที่ ๕ – ๖ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านที่ ๗ ที่ถูกหักก่อนหน้านั้นก็ยังคาอยู่ที่ต้น

               เราไม่ตัดก้านที่ ๗ -๘ ที่ถูกหักออกเผื่อว่าจะไม่มาหักเพิ่มเพราะปกติถ้าเราตัดก้านที่ถูกหัก ไม่นาน (๑ – ๒ วัน) ก้านต่อไปก็จะถูกหักอีกเพราะพวกนั้นต้องการกดดันให้เราเสียความรู้สึกมากๆ ถ้าเราทำให้ต้นกล้วยดูดี ก็จะขัดกับความประสงค์ของพวกนั้น  ซึ่งวิธีนี้ก็ดูจะได้ผลในช่วงแรก ยืดอายุไปได้ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดกลายเป็นว่าพวกนั้นทนไม่ได้ที่เราทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องหักก้านกล้วยอีกเพื่อเพิ่มระดับการกดดัน

 


วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕ มีก้านกล้วยถูกหักห้อยคาต้นอยู่ ๓ ก้านซึ่งไม่น่าดู เราเลยตัดสินใจตัดออกทั้งสามก้าน คือก้านที่ ๗, ๘ และ ๙  (ตรงลูกศรสีส้มด้านซ้ายคือก้านที่ ๙ ส่วนก้านที่ ๗ และ ๘ อยู่ใกล้กันด้านขวา) ก็คงจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็นอีกเช่นเคย

 


เว้นไปแค่สองวัน คืนวันที่ ๑๘ – ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก็ถูกหักอีกเป็นก้านที่ ๑๐

 


ก้านที่ ๑๐ ที่ถูกหักถ่ายจากอีกมุมหนึ่ง

               อันที่จริงการหักกิ่งไม้ในบ้านเราเกิดขึ้นต่อเนื่องนานแล้ว โดยเฉพาะต้นไม้ที่เราใส่ใจเป็นพิเศษจะตกเป็นเป้าการทำลายลำดับต้นๆของมือที่มองไม่เห็น คงหวังกดดันความรู้สึกของเราให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นการบีบบังคับข่มขู่ไปในตัว ไม่เพียงแต่การหักกิ่งไม้แต่ยังมีวิธีการอื่นๆอีก เช่นทำให้ต้นไม้ค่อยๆเฉาตาย หรือไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต พอจะฟื้นก็จะถูกทำให้โทรมอีก

               ทำไมถึงกล้าทำกันขนาดนี้ ไฟก็สว่าง คำตอบคือ การดำเนินชีวิตของเราทุกอย่างในบ้านอยู่ในสายตา(และหู) ของเครือข่ายที่กดดันเราอยู่แบบออนไลน์เรียลไทม์ คนลงมือจึงรู้เวลาที่ปลอดโปร่งและลงมือได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้หากมีอะไรผิดพลาดก็จะมีการปกป้องกันอย่างเป็นขบวนการ ทำให้คนในเครือข่ายสบายใจคลายความกังวลที่จะทำอกุศลกรรมเมื่อได้รับใบสั่ง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญสำหรับคนที่ตกเป็นเป้าหมายของการกดดันรังควาญจึงเป็นเพียงตัวอักษรในกระดาษเท่านั้น

               พวกเขาบีบบังคับกดดันเราทำไม กรณีของเราพวกเขาบีบบังคับกดดันเพื่อวัตถุประสงค์สองประการ คือ ประการแรกเพื่อให้เราออกไปจากที่นี่ด้วยการขายบ้านในราคาถูกๆให้กับพวกพ้องของพวกเขานำไปพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่บีบให้เราขายถูกเพราะไม่ต้องการให้เป้าหมายมีเงินมาก เป็นการตัดกำลังเป้าหมายในทุกทาง ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะได้ของถูกแต่ดีไปทำกำไรต่อมหาศาลซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ความมั่งคั่งวนเวียนอยู่ในแวดวงของคนในเครือข่าย

               วัตถุประสงค์ประการที่สองที่พวกเขาไม่พูดตรงๆแต่ใช้วิธีกดดันพร้อมกับสื่อสารเป็นนัยๆด้วย “เวลา” (เป็นหลัก) ควบคู่ไปกับการกดดัน เช่น เวลาที่เกิดกลิ่นแก๊ส เวลาที่เกิดเหตุการณ์ก่อกวนต่างๆรอบๆบ้าน เป็นต้น เป็นวัตถุประสงค์เพื่อให้เราทำบางอย่างตามที่พวกเขาต้องการ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องของความรู้สึกและเสรีภาพส่วนบุคคล จะบังคับกันไม่ได้ ตราบเท่าที่คนเคารพกฎหมาย ก็ต้องถือว่าผู้นั้นเป็นพลเมืองดีและสิทธิเสรีภาพของเขาควรได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อพวกเขาจะเอาให้ได้ แต่จะพูดก็ไม่ได้(เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พวกตนทำเป็นเรื่องเลวร้ายและผิดกฎหมาย) จึงใช้วิธีการบีบบังคับกดดันให้เป้าหมายทำตามที่ต้องการในแบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ทำนองว่าเป้าหมายทำเอง พวกเขาไม่ได้บังคับนะ  

               เรารู้ว่าพวกคุณอ่านบทความของเรา เราขอบอกตรงนี้เลยว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องนั้น เราไม่ได้เป็นภัยคุกคามเรื่องนั้น และเราเคารพกฎหมาย รัฐธรรมนูญว่าไว้อย่างไรเราก็เคารพตามนั้น เพราะฉะนั้น พวกคุณควรจะพอใจและสบายใจได้ อย่าถึงกับบีบบังคับจะเอาให้ได้อย่างใจนอกเหนือรัฐธรรมนูญเลย มันนานหลายสิบปีแล้ว อายุเราก็ใกล้เจ็ดสิบแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี (ก็จากแก๊สสารพัดของพวกคุณนั่นแหละ) จะอยู่ได้อีกสักกี่ปี มันจะตอกย้ำว่าเป็นเครือข่ายที่โหดเหี้ยมนะ ที่สำคัญการบีบบังคับคนในเรื่องนี้ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน ถ้าคนถูกบีบบังคับจนต้อง “ยอม” ใจเขาจะไม่ “ยอมรับ” และจะหาความจริงใจจากคนที่ต้องยอมเพราะถูกบีบบังคับไม่ได้ ฉะนั้นผลที่ได้จากการบีบบังคับจึงไม่ยั่งยืน คนที่บีบบังคับเองก็จะกังวลใจไปตลอดเพราะตระหนักดีว่าเขายอมเพราะถูกบีบบังคับ ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจหรือเต็มใจ และที่ยิ่งไปกว่านั้นการบีบบังคับอาจทำให้คนที่เดิมไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนความคิด ดังนั้น การบีบบังคับจึงเป็นมาตรการที่จะส่งผลเสียโดยตรงไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งพวกคุณก็น่าจะเข้าใจดีโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก  ถ้าพวกคุณรักจริง ก็ต้องรักให้ถูกวิธี ใช้วิธีที่ทำให้คนอื่นรัก ไม่เช่นนั้นก็อาจถูกสงสัยว่าเป็นกรณีทำเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย   เราเชื่อว่าการเคารพกฎหมายจะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างสุขสงบ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ เราอยู่ได้ พวกคุณก็อยู่ได้ ไม่มีใครละเมิดใคร อยู่อย่างเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ? หากยังไม่สบายใจหรืออยากจะเรียกร้องอะไรจากเราก็ควรกระทำอย่างเปิดเผย ใช้วิธีพูดกับเราตรงๆดีกว่า เรายินดีที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกคนที่ใช้เหตุผล แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะแสดงตัวจริงๆ จะใช้คนที่พวกคุณและเราคุ้นเคยเป็นตัวแทนก็ได้   

               เราได้พูดอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุดเท่าที่พอจะพูดออกไปได้แล้ว เราไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนวิธีการบีบบังคับของพวกคุณซึ่งเป็นวิธีการที่ทำร้ายสังคม หากการบีบบังคับกดดันยังคงดำเนินต่อไป คงต้องสรุปว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกคุณคือการทำลายเรา(ขณะเดียวกันก็ช่วยพวกพ้องปล้นที่เรา)โดยอ้างเรื่องนั้น  และหากเป็นเช่นนี้ การขายบ้านออกไปจากที่นี่แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นก็จะไม่ทำให้เรื่องมันจบ ยิ่งกว่านั้นการย้ายจากที่ๆอยู่มานานถึงหกสิบห้าปี จนมีรากฐานและสภาพแวดล้อมที่มั่นคงสะดวกสบาย ทั้งสน. สำนักงานเขต โรงพยาบาล ช้อปปิ้งมอลล์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง ธนาคารหลายแห่ง ร้านอาหารหลากหลาย ผับบาร์ ตลอดจนเซเว่นหัวซอยท้ายซอย ล้วนอยู่ในระยะที่เดินเท้าได้ แล้วย้ายไปเป็นคนมาใหม่ในที่อื่นที่ไม่มีวันจะเจริญมั่นคงสะดวกสบายเท่าที่เดิม กลับจะเป็นช่องทางให้เราถูกบีบบังคับกดดันได้ง่ายยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตได้ยากลำบากยิ่งขึ้น กระทั่งถูกทำลายจริงๆได้สะดวกยิ่งขึ้น


ถ้าคนหนึ่งพูดว่า “หากคุณไม่เป็นพวกเรา เราจะถือว่าคุณต่อต้านเรา”

ส่วนอีกคนพูดว่า “ถ้าคุณไม่ต่อต้านเรา เราจะถือว่าคุณเป็นมิตร”   คุณอยากจะคบกับคนไหน ?


บทความอ่านประกอบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

“เลือดเป็นกรด” “โจรผู้ดี” “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (ปลอม)”


Wednesday, December 29, 2021

เลือดเป็นกรด ?

 

               กลางเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ได้ยินข่าวพระเอกหนังรุ่นเก่าท่านหนึ่งเสียชีวิตอย่างกระทันหัน โดยแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตเพราะ “โลหิตเป็นกรด” สงสัยว่ามันคือโรคอะไร ก็ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้พบว่าเราก็มีอาการคล้ายๆกับโรคนี้ คืออ่อนเพลีย อ่อนล้า มึนงง ง่วงนอน ปวดหัว ส่วนสาเหตุอย่างหนึ่งของโรคก็คล้ายกันอีก คืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ การได้รับสารเคมีหรือสารพิษ  ภาวะเลือดเป็นกรดทำให้ร่างกายค่อยๆเสื่อมลงช้าๆ และค่อยๆรบกวนการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และยังเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆและทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้อีกหลายอย่าง  เลือดเป็นกรดคือภาวะที่เลือดในร่างกายมีค่าความเป็นกรดสูงเกินไป(ค่า pH ต่ำกว่า ๗.๓๕) เกิดขึ้นเมื่อไตและปอดไม่สามารถรักษาสมดุลของความเป็นกรดด่างในเลือดได้(ปอดและไตไม่สามารถขับกรดส่วนเกินออกจากร่างกาย)  หากมีอาการรุนแรงอาจทำให้ช็อกจนเสียชีวิตได้

               สภาพที่บ้านเราก็เป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น มีกลิ่นแก๊สสารพัดทุกวัน หลักๆก็มีกลิ่นน้ำครำ กลิ่นแก๊สไข่เน่า กลิ่นน้ำคลองขาว(เป็นกลิ่นที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับน้ำในคลองข้างบ้านเป็นสีขาวเหมือนมีคนเอาสารเคมีบางอย่างเทลงคลอง แต่ระยะหลังๆน้ำในคลองไม่ขาวก็มีกลิ่นนี้) กลิ่นเชื้อรา กลิ่นยาฆ่าแมลง กลิ่นท่อไอเสีย กลิ่นควันเผาไหม้ต่างๆ เราเคยออกไปเช็คที่ริมคลองพบว่าอากาศปกติไม่มีกลิ่นเหล่านั้น สรุปก็คือกลิ่นมีอยู่ในบ้านเราและไม่ใช่แก๊สที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แอร์เปิดไม่ได้เพราะถ้าเปิดห้องก็จะกลายเป็นห้องอบแก๊ส เวลานอนต้องเปิดพัดลมอุตสาหกรรมสองตัวช่วยระบายลม แต่ถ้าอัดแก๊สแรงๆก็เอาไม่อยู่ เราต้องตื่นเพราะกลิ่นแก๊สฉุนเข้าไปในโพรงจมูกทุกวัน ทำให้ไม่ได้นอนต่อเนื่อง หลับๆตื่นๆ บางวันนอนแทบไม่ได้เลย ไม่เคยตื่นนอนด้วยความรู้สึกสดชื่น ไม่แน่ใจว่าปีหนึ่งจะได้นอนโดยไม่มีกลิ่นแก๊สถึงห้าวันหรือเปล่า แก๊สเหล่านั้นคือสารพิษ เมื่อร่างกายรับสารพิษเข้ามาต่อเนื่องประกอบกับไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ สภาพร่างกายก็ทรุดโทรมเพราะฟื้นตัวไม่ทัน เหมือนคนป่วยเรื้อรัง ง่วง มึน เพลีย ล้า ทุกวัน

               ระยะนี้มีแก๊สมากขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นการเพิ่มแรงบีบเร่งให้เราขายบ้านออกไปจากที่นี่ อันที่จริงพวกเขาใช้แก๊สกดดันเรามาตลอดยี่สิบปี แต่การเพิ่มระดับการใช้แก๊สกับเราร่วมกับมาตรการกดดันอื่นๆในระยะนี้สะท้อนว่าน่าจะมีเหตุบางอย่างที่บีบพวกเขาอยู่เช่นกัน พวกนี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประยชน์ รู้ข้อมูลวงใน ที่ตรงไหนจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีแผนพัฒนาอย่างไรคนพวกนี้จะรู้ดีและรู้ก่อนคนอื่นเสมอ แต่แทนที่จะเข้ามาซื้ออย่างสุจริตชนก็จะใช้วิธีกดดันให้เจ้าของที่ดินทนอยู่ต่อไปไม่ได้จนต้องบอกขาย สำหรับกรณีของเรานั้นการบีบบังคับกดดันมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนมากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ มีการแอบอ้างกดดันเรามานานแล้ว ซึ่งเราได้พูดไปบ้างแล้วในบทความเรื่อง “โจรผู้ดี ! (คลิกเพื่อดูบทความนี้)  

               เมื่อต้นปี ๒๕๕๗  เราแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกคลองสาธารณะข้างบ้านรายหนึ่ง นายตำรวจที่รับผิดชอบงานสอบสวนของ สน. ถามเราด้วยสีหน้าอาการประหลาดใจอย่างมากว่าเรายังอยู่ที่นี่อีกหรือ เขาถามย้ำคำถามนี้สองครั้ง แสดงว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเราจะยังทนอยู่ที่นี่ได้ คงคิดว่าหลังจากที่เขาทำคดีเกี่ยวกับผู้บุกรุกคลองสาธารณะอีกรายหนึ่งที่เราแจ้งความเมื่อกลางปี ๒๕๕๔  เราคงย้ายไปที่อื่นแล้ว ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น นายตำรวจคนนี้คงรู้ว่าเราเป็นเป้าหมายของการกดดันให้ออกไปจากที่นี่นานแล้ว แต่แม้เขาจะรู้ว่าเราเป็นเป้าหมายของขบวนการบางอย่าง เขายังคงทำคดีที่เราแจ้งความอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งน้อยนักที่เราจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ต้องถือว่าเขาเป็นนายตำรวจน้ำดีคนหนึ่ง  การที่นายตำรวจผู้นี้รู้เรื่องการบีบให้เราขายบ้านออกไปจากที่นี่น่าจะบ่งบอกว่ามีการกระทำแบบนี้กันเป็นประจำ  ไม่พอใจใคร อยากได้ที่ใคร ก็จะใช้อำนาจอิทธิพลและเครือข่ายบีบบังคับกดดันกลั่นแกล้ง จนคนต้องทำทุกอย่างที่เรียกกันติดปากว่า “อยู่เป็น” เพื่อความอยู่รอด หลักการและความถูกต้องดีงามจึงถูกละเลย สังคมไทยจึงมีสภาพอย่างทุกวันนี้

               เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ หกสิบสี่ปี่แล้ว อยู่มาตั้งแต่รอบบ้านเป็นทุ่งไปจนถึงถนน จนทุกวันนี้มีแต่อาคารกับดงคอนโด เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่รอบๆบ้านเรากำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และบ้านเราน่าจะเป็นจุดหนึ่งที่จะปลดล็อคการเปลี่ยนแปลงนั้น

              

Sunday, July 12, 2020

สินเชื่อ Reverse Mortgage (RM) ตอนที่ 3 คุ้มค่าหรือไม่?


                    ดูเหมือนปัญหาหลักๆของสินเชื่อ Reverse Mortgage ที่ธนาคารออมสินจะได้รับการคลี่คลายไปแล้ว  หลักประกันที่ไม่ได้อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรกู้ได้แล้ว  คู่สมรสที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันก็กู้ได้ แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็ยังคงมีอยู่และเป็นเรื่องที่ผู้สูงอายุที่สนใจจะกู้สินเชื่อ RM ไม่ควรมองข้าม  เรื่องนั้นก็คือ “ระยะเวลาจ่ายเงินกู้”

                    หลังจากที่ทราบว่าธนาคารออมสินออกประกาศสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) ฉบับใหม่ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุสามารถกู้ได้โดยที่คู่สมรสไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกัน  กลางเดือนมีนาคม 2563 เราไปยื่นเรื่องขอกู้สินเชื่อ RM ระยะเวลา 10 ปี ที่สาขาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และขอตารางการจ่ายเงินงวด 10 ปี จากเจ้าหน้าที่สินเชื่อของสาขา  เจ้าหน้าที่ปลีกตัวไปทำตารางแล้วกลับมาแจ้งเราว่าทำตารางไม่ได้โดยเธอได้โทรศัพท์สอบถามกับหน่วยงานในส่วนกลางที่ดูแลสินเชื่อ RM ซึ่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานส่วนกลางบอกเธอว่าระยะเวลาจ่ายเงินกู้ต้องเป็น 85 – อายุผู้กู้ ( = ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดที่ผู้กู้แต่ละรายจะมีได้) เท่านั้น ผู้กู้เลือกระยะเวลาจ่ายเงินกู้เองไม่ได้ ดังนั้นระยะเวลาจ่ายเงินกู้ของเราจะต้องเป็น 85 – 65 = 20 ปี และจะทบทวนให้กู้เพิ่มได้เมื่อผู้กู้อายุ 85 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินว่าผู้กู้เลือกระยะเวลาจ่ายเงินกู้ไม่ได้  ในการยื่นกู้ครั้งก่อนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้  ญาติพี่น้องเราก็เข้าใจว่าผู้กู้เลือกระยะเวลาที่ต้องการได้(ภายในกรอบ 85 – อายุผู้กู้)  เรื่องเงื่อนไขระยะเวลาจ่ายเงินกู้ที่เจ้าหน้าที่ธนาคารอ้างมานี้เรามีหลักฐานว่าการขอกู้ระยะเวลา 10 ปีของเราเป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารฯประกาศ และญาติของเราโทรศัพท์สอบถาม 1115 ก็ได้คำตอบว่าผู้กู้อายุ 65 ปีสามารถกู้ระยะเวลา 10 ปีได้ เรามีหนังสือร้องเรียนเรื่องนี้ถึงผู้อำนวยการธนาคารออมสินหลายฉบับ ผ่านมาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งความล่าช้านี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้กู้อย่างยิ่งเพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ที่มาขอกู้สินเชื่อเดือดร้อนเรื่องสภาพคล่อง ยิ่งนานผู้กู้ก็ยิ่งเดือดร้อน อาจมีคนคิดว่าถ้าเรารอต่อไปไม่ไหวเราก็ต้องยอมรับเงื่อนไขการกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดตามที่ธนาคารต้องการ(20ปี)หรือไม่ก็ต้องยอมขายบ้านไปในราคาที่กลุ่มทุนบีบได้นั่นเอง  เราจะพูดรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นกู้ของเราในตอนที่ 4  

                    สำหรับตอนที่ 3 นี้ เราจะพูดถึงผลกระทบของเงื่อนไขระยะเวลาจ่ายเงินกู้ดังกล่าว  โดยยกตัวอย่างกรณีผู้กู้อายุ 65 ปี ขอกู้ 1 ล้านบาท (70% ของราคาประเมินหลักประกันมูลค่าประมาณ 1.43 ล้านบาท)  ต้องการกู้ระยะเวลา 10 ปี แต่ธนาคารจะให้กู้ 85 – 65 = 20 ปี
                    1. การกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ยิ่งนานผู้กู้จะยิ่งเสียดอกเบี้ยมากขึ้น ได้เงินใช้น้อยลง  ในการกู้ระยะเวลา 10 ปี วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผู้กู้จะได้รับเงินงวดรายเดือนประมาณ 6,400 บาท  โดยจะได้รับเงินทั้งหมดประมาณร้อยละ 77 ของวงเงินกู้ และเป็นดอกเบี้ยประมาณร้อยละ 23  กล่าวคือผู้กู้ได้รับเงินจริงเกือบ 8 แสนบาทและเป็นดอกเบี้ย 2 แสนกว่าบาท แต่ถ้าต้องกู้นาน  20 ปี ผู้กู้จะได้รับเงินงวดรายเดือนเพียงประมาณ 2,600 บาท  และเงินทั้งหมดที่จะได้รับก็จะลดลงเหลือเพียงประมาณร้อยละ 63 ของวงเงินกู้ แต่ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 37 กล่าวคือเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปีผู้กู้จะได้รับเงินรวมกันทั้งหมดเพียง 6 แสนกว่าบาท (ทั้งที่เมื่อ 20 ปีก่อนราคาประเมินของหลักประกันก็สูงถึง 1.43 ล้านบาทแล้ว) และเป็นดอกเบี้ยสูงถึงเกือบ 4 แสนบาท ดังนั้น การกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ยิ่งนานผู้กู้จะยิ่งเสียดอกเบี้ยมากขึ้นและได้เงินใช้น้อยลง  ขณะที่ธนาคารฯจะจ่ายเงินน้อยลงและได้ดอกเบี้ยมากขึ้น
                    2. เจ้าหน้าที่ธนาคารฯชี้แจงว่าเงื่อนไขการกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดของผู้กู้(20 ปีในกรณีนี้) ก็เพื่อไม่ให้ผู้กู้ต้องประสบปัญหาไม่มีเงินใช้จ่ายหลังครบ 10 ปี แต่ในความเป็นจริงการกู้ระยะเวลา 10 ปี ผู้กู้จะได้รับเงินงวดรายเดือนประมาณ 6,400 บาท ถ้าผู้กู้ใช้จ่าย 3,200 บาท เก็บออมที่เหลือ 3,200 บาท เมื่อครบ 10 ปี ผู้กู้จะมีเงินเก็บให้ใช้จ่ายเดือนละ 3,200 บาทไปอีก 10 ปี  นั่นคือการกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ 10 ปี ผู้กู้จะมีเงินใช้จ่ายเดือนละประมาณ 3,200 บาท เป็นเวลาถึง 20 ปี ขณะที่การกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมด 20 ปี ผู้กู้จะมีเงินใช้จ่ายเพียงเดือนละประมาณ 2,600 บาท ดังนั้น การกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ 10 ปี จึงสามารถทำให้ผู้กู้มีเงินใช้จ่ายได้นานเท่ากับการกู้ด้วยระยะเวลาการจ่ายเงินกู้ทั้งหมด 20 ปี และยังมีเงินใช้จ่ายรายเดือนที่มากกว่าอีกด้วย  
                    3. การทบทวนสัญญาให้กู้เพิ่มได้จะทำได้เมื่อผู้กู้อายุ 85 ปี คือต้องรอไปอีก 20 ปีโดยที่ผู้กู้ไม่ได้ประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มของหลักประกันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเลย หรืออาจไม่มีโอกาสได้ทบทวนสัญญาเพราะเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้ว  แต่หากกู้ 10 ปี ผู้กู้ก็จะได้ประโยชน์จากการทบทวนสัญญาใหม่เมื่อครบ 10 ปี ซึ่งโอกาสที่ผู้กู้จะมีชีวิตอยู่อีก 10 ปีย่อมมากกว่าโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่อีก 20 ปี มาก  และหากราคาประเมินหลักประกันเพิ่มขึ้นและคุ้มมูลหนี้ก็กู้เพิ่มได้อีก ซึ่งทำให้คุ้มมูลค่าหลักประกันมากกว่าการกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมด 20 ปี มาก
                    4. กรณีที่หลักประกันของผู้กู้มีมูลค่าสูงกว่าวงเงินกู้สูงสุดที่ธนาคารฯกำหนดมาก ผลเสียที่จะเกิดกับผู้กู้ก็จะยิ่งมาก เช่น หลักประกันมีมูลค่า 20, 30 ล้านบาท หรือมากกว่านี้ ก็จะกู้ได้สูงสุดแค่ 10 ล้านบาทเพราะธนาคารฯกำหนดวงเงินกู้สูงสุดไว้แค่นั้น  ทำให้ผู้กู้ได้รับเงินงวดรายเดือน 20 ปีเป็นเงินรวมประมาณ 6 ล้านกว่าบาท(หากสามารถมีชีวิตอยู่จนอายุ 85 ปี)  ซึ่งน้อยกว่ามูลค่าของหลักประกันมากอย่างเทียบกันไม่ได้ ทำให้ผู้กู้ไม่ได้รับประโยชน์จากหลักประกันเท่าที่ควรจะได้ (หากผู้กู้สามารถเลือกระยะเวลาจ่ายเงินกู้ได้ผู้กู้ก็ยังพอจะวางแผนการกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของตนและวงเงินกู้ที่ธนาคารฯจำกัดไว้ที่ 10 ล้านบาทได้)  
                    5. การที่ธนาคารฯให้ผู้กู้ต้องกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดเพียงระยะเดียวเป็นการตัดโอกาสที่ผู้กู้จะออกแบบหรือวางแผนการกู้เพื่อประโยชน์สูงสุดสมกับมูลค่าหลักประกันและสภาพชีวิตของผู้กู้  เช่น ผู้กู้มีสุขภาพไม่ค่อยดีและคาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน จึงต้องการกู้ตามระยะเวลาที่เห็นว่าจะสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของตนได้ดีที่สุดซึ่งอาจเป็น 5 หรือ 10 ปี  แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะธนาคารฯจะให้กู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดของผู้กู้เท่านั้นซึ่งทำให้ผู้กู้ได้เงินน้อยและอาจได้เงินมาใช้จ่ายไม่กี่งวดก็เสียชีวิต    
                    6. เงื่อนไขที่ต้องกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดของผู้กู้จะมีผลเป็นการคัดกรองหรือกันผู้สูงอายุส่วนหนึ่งออกไปจากการใช้บริการสินเชื่อนี้โดยปริยายเพราะความไม่คุ้มค่ากับหลักประกันตามที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่อายุไม่มากซึ่งระยะเวลาจ่ายเงินกู้จะยาวนานมาก กับกลุ่มผู้สูงอายุที่หลักประกันมีมูลค่าสูงกว่าเพดานวงเงินกู้ 10 ล้านบาทมาก  สภาพที่การกู้สินเชื่อ RM ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้เช่นนี้บีบให้ผู้สูงอายุเหล่านี้ต้องเลือกทางออกอื่นที่ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็คงไม่ทำ เช่น การขายบ้านออกไปในราคาต่ำ เป็นต้น

                    จากข้อจำกัดต่างๆของสินเชื่อ RM ข้างต้น ทำให้ยากที่ผู้สูงอายุจะใช้สินเชื่อนี้ได้อย่างคุ้มค่าสมกับมูลค่าของหลักประกัน  ประโยชน์ของสินเชื่อ RM ของธนาคารออมสินจึงหดตัวลงเหลือเพียงบางกรณี เช่น กรณีผู้กู้มีทายาทและผู้กู้เพียงแค่ต้องการเงินมาใช้จ่ายเพิ่มจากที่พอมีใช้อยู่แล้ว การกู้ในวงเงินไม่สูงและเงินงวดรายเดือนน้อยก็จะช่วยให้ทายาทที่ต้องชำระหนี้ปิดบัญชีหรือผ่อนต่อเมื่อผู้กู้เสียชีวิตแล้วสามารถแบกรับภาระได้โดยไม่หนักจนเกินไป  อีกกรณีหนึ่งคือกู้ไปก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพระหว่างรอขายหลักประกันในอนาคต  แต่กรณีที่น่าจะคุ้มมูลค่าหลักประกันมากที่สุดคือกรณีที่ผู้กู้เป็นผู้สูงอายุช่วงปลายที่มีระยะเวลาจ่ายเงินกู้สั้นๆ  และหลักประกันมีมูลค่าที่กู้ได้ไม่สูงเกินเพดานวงเงินให้กู้ของธนาคารคือประมาณ 14 – 15 ล้านบาท (สำหรับเพดานวงเงินกู้ 10 ล้านบาท) และประสงค์จะอาศัยอยู่ที่หลักประกันนั้นๆไปตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม สินเชื่อ RM นี้เป็นนโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุของรัฐบาลที่ต้องการจะช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นผู้สูงวัยทุกช่วงอายุตั้งแต่ 60 ปี จนถึง 80 ปี จึงควรได้ประโยชน์สูงสุดจากสินเชื่อนี้อย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุช่วงต้นๆจะมีอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นช่วงอายุที่ยังมีแรงพอที่จะต่อยอดเงินที่กู้มาได้ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อตนเอง ครอบครัวและส่วนรวม  เงื่อนไขข้อกำหนดต่างๆของสินเชื่อ RM จึงควรตอบสนองเป้าประสงค์และข้อเท็จจริงนี้ด้วย 

                    สินเชื่อนี้ถือเป็นสวัสดิการที่รัฐมอบให้แก่ผู้สูงอายุ(แต่ไม่ใช่สวัสดิการแบบให้เปล่า) ไม่ใช่สินเชื่อที่มุ่งหากำไรทางธุรกิจ ธนาคารออมสินในฐานะหน่วยงานรัฐที่รับมอบนโยบายจากรัฐบาลมาปฏิบัติจึงควรดำเนินการภายใต้กรอบแนวคิดนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์และความเป็นธรรมแก่ผู้สูงอายุมากที่สุด และควรมองว่าการกำหนดระยะเวลากู้เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้กู้และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้กู้ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ    

                    มาถึงตรงนี้ มีคำถามให้ผู้อ่านนำไปคิด หรือจะตอบในใจเลยก็ได้ (ถ้าได้อ่าน สินเชื่อ Reverse Mortgage (RM) ตอนที่1 และ  ตอนที่ 2 ด้วย จะได้ภาพชัดยิ่งขึ้น)
                    1. การที่ธนาคารออมสินให้ผู้กู้ต้องกู้ด้วยระยะเวลาจ่ายเงินกู้ทั้งหมดของผู้กู้เพียงระยะเวลาเดียวโดยไม่ให้ผู้กู้เลือกระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตามความประสงค์ของผู้กู้นั้น ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สูงอายุหรือไม่ (หน่วยงานอนุมัติสินเชื่อที่พิจารณาคำขอกู้ของเรากล่าวว่าหน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของธนาคารเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า)    
                    2. เงื่อนไขดังกล่าวเป็นธรรมกับผู้กู้หรือไม่ เป็นการเอาเปรียบผู้กู้ซึ่งเป็นผู้สูงอายุหรือไม่
                    3. เงื่อนไขการกู้ดังกล่าวส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงหรือไม่
                    4. เงื่อนไขแบบนี้คิดว่าใครได้ประโยชน์มากกว่ากัน ธนาคาร ผู้สูงอายุ กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์

                    ตอนต่อไป(ตอนที่ 4) จะนำเสนอกรณีศึกษาการยื่นกู้สินเชื่อ RM ของเราในประเด็นปัญหาเงื่อนไขระยะเวลาจ่ายเงินกู้ของธนาคารฯตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันถึงความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบของธนาคารออมสิน องค์กรขนาดใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุที่สนใจสินเชื่อ RM และประชาชนทั่วไปที่สนใจจะใช้บริการธนาคารของรัฐแห่งนี้.

                    แล้วเราก็นึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่ง  “........ทำไมต้องดูแลกันขนาดนี้.......ดูแลคนสูงวัย ........ ดูแลปากท้อง ช่องทางทำมาหากิน ........ สนับสนุนนโยบายภาครัฐ ........  ดูแลยามที่เราลำบาก........   ดูแลทั้งๆที่ไม่สร้างรายได้แม้แต่บาทเดียว  ทำไมต้องดูแลกันขนาดนี้ ....... นี่อาจคือคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบก็ได้  เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าดูแล  ก็คือการให้  ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน”



Monday, June 29, 2020

สินเชื่อ Reverse Mortgage (RM) ตอนที่ 2 คนไทยได้ใช้กันซะที !!


                    ในบทความ "สินเชื่อ Reverse Mortgage ตอนที่ 1  ใครได้ - ใครเสีย" ที่เสนอไปเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2559  ได้พูดถึงภาพกว้างๆของสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นสินเชื่อที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน ทำให้ลูกหลานลดภาระทางการเงิน มีเงินเหลือไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น คุณภาพชีวิตของลูกหลานก็จะดีขึ้นด้วย การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้ก็จะไปช่วยขับเคลื่อนการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศโดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นที่เป็นอยู่ขณะนี้ สถาบันการเงินก็จะสามารถระบายเงินออกได้โดยมีความเสี่ยงน้อยเพราะมีหลักทรัพย์เป็นประกัน เกิดธุรกิจต่อเนื่อง เช่น การค้ำประกันสินเชื่อชนิดนี้ เป็นต้น  ในส่วนของรัฐก็จะช่วยลดภาระงบประมาณด้านสวัสดิการที่ให้แก่ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกปี  ที่สำคัญสินเชื่อ RM จะช่วยให้ผู้สูงอายุไม่ต้องขายบ้านในราคาที่ “ถูกบีบ” อีกด้วย

                    ในที่สุดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ(RM) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นผู้นำร่องผลิตภัณฑ์ RM  บทความ RM ตอนที่ 1 จบลงที่ความไม่มั่นใจว่าผู้สูงอายุจะได้ใช้สินเชื่อนี้ภายในสิ้นปี 2559 อย่างที่คาดหวังกันหรือไม่ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแสดงความเห็นเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ในลักษณะที่เข้าใจได้ว่าคงจะต้องใช้เวลาพิจารณาเรื่องสินเชื่อนี้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งเราเห็นว่าความล่าช้าไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลยไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือผู้สูงอายุ นอกจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่น่าจะชอบมาตรการ RM สักเท่าไร  ในที่สุดความสงสัยนั้นก็เป็นความจริงยิ่งกว่าที่คิด ผู้สูงอายุต้องรอจนถึงปี 2561 จึงได้เริ่มใช้บริการสินเชื่อนี้จากธนาคารออมสิน

                    หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ผู้สูงอายุก็ได้แต่รอๆๆๆ ระหว่างที่รอก็มีข่าวออกมาเป็นระยะๆว่าธนาคารออมสินจะเปิดให้บริการสินเชื่อ RM วันนั้นวันนี้ แต่ก็ไม่ใช่สักที  จนหนึ่งปีเต็มๆผ่านไป วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560 ธนาคารออมสินได้มีประกาศ เรื่อง การให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือธนาคารออมสินประกาศเริ่มให้บริการสินเชื่อ RM นั้นเอง แต่การให้บริการจริงน่าจะเริ่มในเดือนมกราคม 2561(ทราบมาว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดกรอบการให้สินเชื่อ RM ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเสร็จก่อนหน้านั้นหลายเดือนแล้ว)  เป็นอันว่าเรา(ผู้สูงอายุ)จะได้ใช้บริการนี้กันเสียทีหลังจากผิดหวังกันมาหลายครั้ง  แต่เรื่องกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ธนาคารออมสินกำหนดเงื่อนไขว่า      “กรณีหลักประกันเป็นที่ดินพร้อมอาคาร ต้องตั้งอยู่ในโครงการจัดสรรตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน” ทำให้ผู้สูงอายุที่บ้านและที่ดินไม่ได้อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรไม่มีสิทธิกู้สินเชื่อนี้ทั้งๆที่บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูงกว่าหรือไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านในโครงการบ้านจัดสรร เช่น บ้านและที่ดินที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับบ้านจัดสรร รวมทั้งบ้านและที่ดินที่อยู่ใจกลางเมืองซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่บ้านในโครงการบ้านจัดสรร กลับไม่สามารถใช้บ้านและที่ดินเหล่านี้เป็นหลักประกันในการกู้ ข้อกำหนดดังกล่าวจึงกันผู้สูงอายุส่วนหนึ่งที่ประสงค์จะกู้สินเชื่อนี้ออกไปอย่างไม่เป็นธรรม

                    นอกจากนี้ธนาคารออมสินยังกำหนดคุณสมบัติของผู้กู้ว่า “กรณีมีคู่สมรส กรรมสิทธิ์ในหลักประกันจะต้องเป็นของผู้กู้และคู่สมรสเท่านั้น โดยคู่สมรสต้องเข้ามาเป็นผู้กู้ร่วม” ซึ่งหมายความว่า ในกรณีที่ผู้กู้มีคู่สมรส คู่สมรสต้องเข้ามาเป็นผู้กู้ร่วม และคู่สมรสต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันด้วย โดยธนาคารบอกว่าการกำหนดให้คู่สมรสต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันก็เพื่อให้คู่สมรสได้รับสิทธิต่อเนื่องในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิต (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559)  แต่ข้อกำหนดนี้เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันขณะที่ทั้งผู้กู้และคู่สมรสมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอยู่แล้ว ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อาจมากเกินกว่าที่ผู้กู้และคู่สมรสจะแบกรับได้ ส่งผลให้ไม่สามารถจะขอกู้สินเชื่อนี้ได้และอาจต้องขายบ้านและที่ดินในราคาที่ไม่เป็นธรรมไปในที่สุด

                    ปลายเดือนเมษายน 2561 เราทำหนังสือถึงผู้อำนวยการธนาคารออมสินผ่านทางสำนักนายกรัฐมนตรี (เว็บไซต์ 1111) ขอให้ทบทวนแก้ไขข้อกำหนดของสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage)  3 ข้อ
                    1. ให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ที่ดินพร้อมอาคารเป็นหลักประกันได้โดยไม่จำกัดว่าจะต้องตั้งอยู่ในโครงการจัดสรรตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเท่านั้น
                    2. ให้คู่สมรสได้รับสิทธิต่อเนื่องจนกว่าจะหมดอายุสัญญาหรือเสียชีวิตทั้งคู่โดยที่คู่สมรสไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกัน
                    3. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากที่กำหนดในปัจจุบัน (MRR – 1 %) เพราะถือเป็นสวัสดิการที่รัฐให้แก่ผู้สูงอายุ

                    สี่เดือนต่อมาธนาคารออมสินได้ออกประกาศฉบับใหม่ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2561 ยกเลิกประกาศฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2560  ประกาศฉบับใหม่นี้กำหนดให้ผู้สูงอายุที่หลักประกันไม่ได้ตั้งอยู่ในโครงการจัดสรรตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินสามารถกู้ได้ด้วย แต่ยังคงกำหนดให้กรณีมีคู่สมรส กรรมสิทธิ์ในหลักประกันต้องเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมและคู่สมรสยังคงต้องเข้ามาเป็นผู้กู้ร่วม (ต่อมาปลายเดือนเดียวกันธนาคารแจ้งเราว่าไม่สามารถดำเนินการตามที่เราร้องขอให้คู่สมรสได้รับสิทธิต่อเนื่องโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้เพราะมีประเด็นด้านกฎหมาย)  ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังคงเหมือนเดิม คือ MRR – 1 %   สรุปว่าที่ขอไป 3 ข้อ ได้มา 1 ข้อ อย่างน้อยตอนนี้บ้านที่ไม่ได้อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรก็สามารถกู้ได้ และธนาคารยังได้ขยายพื้นที่ให้บริการสินเชื่อนี้ออกถึงนอกตัวเมืองด้วย

                    ปลายเดือนพฤษภาคม 2562 เราลองยื่นขอกู้สินเชื่อ RM โดยที่คู่สมรสไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันที่สาขาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯซึ่งก็ไม่ได้รับการอนุมัติด้วยเหตุผลเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันดังกล่าว  เดือนกันยายน 2562 เราทำหนังสือถึงผู้อำนวยการธนาคารออมสินผ่านทางสำนักนายกรัฐมนตรี (เว็บไซต์ 1111) อีกครั้ง  สอบถามธนาคารฯว่าประเด็นทางกฎหมายที่ทำให้ธนาคารฯไม่สามารถดำเนินการตามที่เราขอไปเมื่อต้นปี 2561นั้นคืออะไรและเป็นปัญหาอย่างไร เราไม่ได้คำตอบตามที่ถามไป แต่ต่อมาธนาคารฯได้ออกประกาศฉบับใหม่ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเลิกประกาศฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2561  มีการเปลี่ยนแปลงหลักๆคือ (1) ให้ผู้สูงอายุกู้ได้โดยไม่บังคับให้ทายาทผู้กู้ต้องเข้ารับฟังแนวทางการให้คำปรึกษาโครงการสินเชื่อ RM เช่นในอดีตที่ผ่านมาซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้มีการกู้สินเชื่อนี้น้อยมากและที่ได้รับอนุมัติก็ยิ่งน้อย (2) ลดอายุคู่สมรสจาก 60 ปีขึ้นไปเป็น 55 ปีขึ้นไป (3) เปลี่ยนเงื่อนไขคุณสมบัติของผู้กู้กรณีมีคู่สมรส โดยกำหนดให้กรรมสิทธ์ในหลักประกันจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมหรือไม่ก็ได้ แต่คู่สมรสยังคงต้องเข้ามาเป็นผู้กู้ร่วม เท่ากับว่าคู่สมรสจะได้รับสิทธิต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันดังที่กำหนดในประกาศฉบับก่อนๆ  และเป็นการยุติข้อร้องเรียนเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมที่เราร้องขอให้ออมสินพิจารณาเมื่อต้นปี 61 ไปโดยปริยาย (ในที่สุดธนาคารก็ยอมรับว่าในทางกฎหมายสามารถทำได้ เสียดายเวลาที่เสียไปเกือบสองปี)  ณ จุดนี้ หลักประกันที่ไม่ได้อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรก็กู้ได้ คู่สมรสที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันก็กู้ได้ ถ้าอย่างนั้นการขอกู้สินเชื่อ RM ที่แบงก์ออมสินก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว....มั้ง !  .....แต่อย่าเพิ่งดีใจ ยังมีปัญหาใหญ่รออยู่ในตอนที่ 3 ......

สินเชื่อ Reverse Mortgage ตอนที่ 1 ใครได้ - ใครเสีย (คลิก)
สินเชื่อ Reverse Mortgage ตอนที่ 3  คุ้มค่าหรือไม่ ? (คลิก)



Friday, March 16, 2018

พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ... กฎหมายนี้เพื่อใคร ???


เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 256... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งรัฐบาลจะนำมาใช้แทน พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 และ พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 นั้น เราไม่เห็นด้วยในหลายประการ แต่ในที่นี้จะพูดถึงการจัดเก็บภาษีส่วนที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัยเพราะเป็นส่วนที่กระทบต่อหนึ่งในปัจจัยสี่ของทุกคน
ร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้จะใช้มูลค่าทรัพย์สิน(ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)เป็นฐานในการคำนวณภาษี (ภาษีบำรุงท้องที่ใช้เนื้อที่ดินเป็นฐานในการคำนวณภาษี ส่วนภาษีโรงเรือนใช้ค่าเช่าเป็นฐานในการคำนวณภาษี)  โดยในส่วนของบ้านที่อยู่อาศัยหลัก(บ้านหลังแรก) กฎหมายฉบับนี้กำหนดข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกินยี่สิบล้านบาทหรือห้าสิบล้านบาท (ข้อมูลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยังไม่ได้ข้อยุติแน่นอนว่าจะเป็นกี่ล้าน) เราไม่ทราบว่าตัวเลขยี่สิบล้านบาทหรือห้าสิบล้านบาทนี้  มีที่มาอย่างไร  ทำไมจึงเป็นตัวเลขนี้ ซึ่งเดิมตาม พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 บ้านที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครในท้องที่ที่มีชุมชนหนาแน่นมาก ให้ลดหย่อนได้ไม่เกินหนึ่งร้อยตารางวา แต่จะน้อยกว่าห้าสิบตารางวาไม่ได้  ซึ่งพอเหมาะพอควรในการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวทั่วไปที่อย่างน้อยบ้านก็ควรมีขนาดราว 50 – 100 ตารางวา กฎหมายจึงลดหย่อนให้ประชาชนไม่ต้องรับภาระภาษีมากเกินไป การลดหย่อนดังกล่าวจึงเป็นความเอื้ออาทรที่ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา
แต่ร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้ จะจัดเก็บภาษีจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การลดหย่อนก็คิดเป็นจำนวนเงินจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเราเห็นว่าไม่เป็นธรรมเพราะมนุษย์(หรือแม้แต่สัตว์)เมื่อคิดถีงเรื่องที่อยู่อาศัยก็ย่อมต้องคิดเป็นเนื้อที่ว่าคนๆหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่งโดยทั่วไปควรมีที่อยู่อาศัยเป็นเนื้อที่เท่าใด ไม่ใช่คิดว่าคนๆหนึ่งควรมีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นมูลค่าเท่าใด และเนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ประชาชนจึงควรได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเนี้อที่จำนวนหนึ่งดังเช่นที่กล่าวไปข้างต้น  แต่เมื่อเปลี่ยนมาคิดภาษีจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คนที่มีบ้านร้อยตารางวาใจกลางเมืองซึ่งอาจไม่ได้ร่ำรวยแต่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษหรืออยู่มาหลายสิบปีจนที่ดินมีมูลค่าสูงกลับต้องเสียภาษีจำนวนมากทั้งที่ตามกฎหมายเดิมได้รับการยกเว้น ส่วนอีกคนมีบ้านขนาดร้อยตารางวาเหมือนกันแต่อยู่ไกลออกไปอาจไม่ต้องเสียภาษีเลย แบบนี้จะเป็นธรรมได้อย่างไร  ถ้าไม่จ่ายก็มีความผิดทางอาญาอาจมีโทษถึงจำคุก ผลสุดท้ายก็ต้องขายทิ้งที่ดิน พวกนายทุนใหญ่ก็แค่นอนรอรับโอกาสทองนี้แบบสบายๆ ยิ่งในระยะยาว ที่ดินจะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆที่ดินที่เคยได้รับการยกเว้นก็จะไม่ได้รับการยกเว้น ทำให้ปรากฏการณ์ขายทิ้งที่ดินเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ตรากฎหมายฉบับนี้น่าจะทราบถึงผลที่จะตามมา จึงสงสัยว่าอะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกฎหมายฉบับนี้ ???
                    พวกธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่ใช้ที่อยู่อาศัยของตนเองใจกลางเมืองเป็นสถานประกอบการก็จะประสบเคราะห์กรรมทำนองเดียวกันกับเจ้าของบ้านพักอาศัยที่อยู่ใจกลางเมือง คือหลายรายต้องล้มหายตายจากไปเพราะไม่อาจแบกรับภาระภาษีใหม่ได้

ผลกระทบที่จะตามมา
การเก็บภาษีที่ดินในส่วนของที่อยู่อาศัยตามกฎหมายใหม่ เชื่อว่าจะกระทบต่อชนชั้นกลางซึ่งรวมถึงชนชั้นกลางที่เพิ่งจะเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้ด้วยความมานะอดทนตลอดจนจะเป็นการปิดกั้นโอกาสที่คนจะขยับสถานภาพจากชนชั้นล่างขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง เพราะคนที่มีบ้านอยู่ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าสูงอาจไม่ได้เป็นคนรวย เป็นเพียงชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง หรือแม้แต่บ้านบางหลังที่ได้รับการยกเว้นในช่วงแรกในอนาคตก็จะไม่ได้รับการยกเว้นเพราะมูลค่าที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นตามกาลเวลาและอัตราเงินเฟ้อ  เมื่อไม่อาจแบกรับภาระภาษีนี้ได้ก็ต้องขายบ้านทิ้งออกไปอยู่ไกลๆหรือเปลี่ยนไปอยู่คอนโด ส่วนคนที่เดิมพอจะขยับขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางได้ก็ต้องดิ้นรนมากขึ้นและอาจต้องคงสถานะเดิมต่อไป กฎหมายภาษีที่ดินใหม่นี้จึงส่งผลให้ในที่สุดชนชั้นกลางในสังคมของเราจะค่อยๆหดตัวลงจนเหลือแต่ชนชั้นบนกับชนชั้นล่างเป็นหลัก มีแต่คนที่รวยมากๆกลุ่มหนึ่งกับคนจำนวนมากที่ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวเหมือนหนูถีบจักรและมีแค่ห้องแคบๆเป็นที่ซุกตัว อืม ! เขาอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้จะลดความเหลื่อมล้ำ !!! การที่ชนชั้นกลางหดตัวลงจะถึอเป็นเป้าประสงค์ของการลดความเหลื่อมล้ำได้หรือ ??? เราเกรงว่ามันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเสียมากกว่า !!!
เพื่อกระจายการถือครองที่ดินจริงหรือ ??? อีกเป้าหมายหนึ่งที่ผู้ออกกฎหมายฉบับนี้อ้างก็คือการกระจายการถือครองที่ดิน ซี่งเราเห็นว่าหากต้องการเช่นนั้นทำไมไม่ออกกฎหมายเรื่องที่รกร้างโดยเฉพาะไปเลย เพื่อให้มีการนำที่ดินรกร้างจริงๆมาใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่พ่วงบ้านที่อยู่อาศัยเข้าไปด้วย และยังมีอีกหลายวิธีที่รัฐจะสามารถรวบรวมที่ดินที่ถูกฉ้อฉลไปกลับมาให้พี่น้องเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ทำกินกัน อยู่ที่ว่ารัฐจะทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น  
บ้านเป็นปัจจัยที่มีราคาแพงมาก หลายคนใช้เวลาค่อนชีวิตกว่าจะผ่อนบ้านหลังแรกและหลังเดียวได้หมด มูลค่าที่ดินบ้านพักอาศัยของเราที่สะสมสูงขึ้นตามกาลเวลานั้น แทนที่จะเป็นรางวัลชีวิตที่สามารถส่งมอบให้ลูกหลานต่อยอดได้ รวมทั้งความรักความผูกพัน ความภาคภูมิใจกับบ้านของตนเองซึ่งจะส่งผลถึงความรักประเทศชาติบ้านเกิดของเราด้วยนั้น กลับจะต้องถูกภาษีนี้บีบคั้นให้ต้องขายทิ้งไปอย่างไม่เป็นธรรมอย่างนั้นหรือ

สำหรับการวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้โดยละเอียดเราอยากให้อ่านบทความเรื่อง “ผลกระทบจาก พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ ตามลิงค์ข้างล่าง ซึ่งจะให้ภาพที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน





Sunday, December 17, 2017

แก๊งคอลเซ็นเตอร์(ปลอม)


                    เราๆท่านๆที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำจะพบข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดปรากฏต่อเนื่องแทบจะรายวัน จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ดูจะจับไม่ได้เสียมาก(มากเพราะเป็นอาชีพยอดฮิตติดตลาดของพวกโจรไปแล้ว) บุคคลหลากหลายวงการมีประสบการณ์กับแก๊งพวกนี้ไม่เว้นแม้แต่ตุลาการและคนในเครื่องแบบ ใครไม่รู้เท่าทันก็ตกเป็นเหยื่อไป จากเดิมที่รู้จักแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฐานะผู้เสพข่าว เราก็ต้องมาผจญกับแก๊งพวกนี้เอง 

                    เมื่อเร็วๆนี้เราได้รับโทรศัพท์จากระบบอัตโนมัติเป็นเสียงผู้หญิงบอกว่าเป็นไปรษณีย์ไทยขอแจ้งว่ามีพัสดุหนึ่งชิ้นที่เรายังไม่ได้รับ ติดต่อสอบถามกด 9 เราก็กด 9 มีผู้หญิงรับสาย เขาอ้างว่าเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่ไปรษณีย์กลางแจ้งวัฒนะหลักสี่ เขาถามหมายเลขพัสดุ เราบอกว่าไม่มี เขาบอกว่างั้นขอชื่อที่อยู่จะค้นในฐานข้อมูลให้ ก็บอกชื่อที่อยู่ไป หญิงคนนี้บอกว่าตามฐานข้อมูลระบุว่าพัสดุที่เราส่งไปให้คนๆหนึ่งที่เขตประเวศไม่มีคนรับและตีกลับมาอยู่ที่ไปรษณีย์กลางเป็นพัสดุค้างส่งนานกว่า 30 วัน(ตอนแรกระบบบอกว่ามีพัสดุที่เรายังไม่ได้รับ แต่หญิงคนนี้บอกว่าเราเป็นคนส่ง) พร้อมกับระบุหมายเลขพัสดุ ปณ.และวันที่ที่เราส่งและผู้รับชื่อวิไล อยู่ที่นฤมลแมนชั่น แขวงประเวศ (ตอนหลังเราค้นข้อมูลข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์บนเน็ตพบว่าพวกเขาเคยใช้มุขนี้มาก่อน ตรงกันทั้งเนื้อหาและชื่อที่อยู่บุคคลที่ใช้สร้างเรื่อง)  เราบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนส่งพัสดุชิ้นนั้น  เราสงสัยว่าคงเป็นพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์เลยขอให้เขาสะกดชื่อนามสกุลของเขา เขาบอกว่าชื่อกรรณิการ์ และเอานามสกุลดังสกุลหนึ่งมาอ้างเป็นนามสกุลของเขา(กลวิธีเพิ่มความน่าเชื่อถือ) แต่กลับสะกดนามสกุลผิด พอเราแย้งและขอให้เขาสะกดใหม่ เขาก็ใช้ท่าทีไม่พอใจแล้วพูดบ่นวกวนไม่หยุด บอกเสร็จว่าหัวหน้าเขาชื่ออะไร ถ้าเราไม่ได้เป็นคนส่งก็ให้เรายืนยันกับเจ้าหน้าที่แล้วให้ไปแจ้งความและไปขอดูวงจรปิดที่ไปรษณีย์ประเวศ(สร้างเรื่องให้ดูขึงขัง) ถ้าเราถามอะไรที่เขาตอบไม่ได้ก็จะบ่ายเบี่ยงว่าที่เขามีข้อมูลแค่นี้เขามีหน้าที่แจ้งเราเท่านั้น ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับเรื่องไปแล้ว แต่พอถามว่าจะให้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ที่ไหน เขาตอบไม่ได้ อ้างว่าฐานข้อมูลมันขึ้นแค่นี้ ก่อนจะวางโทรศัพท์เขาบอกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อเราภายใน 5 ถึง 10 นาที (ตอนแรกบอกว่าภายใน 3 ถึง 5 นาที คงลืมไปแล้วเพราะเขาพูดแทรกพูดตัดบทพูดวกวนตลอดเวลา)

                    อีก 19 นาทีต่อมามีชายคนหนึ่งโทรมา อ้างว่าเป็นร้อยตำรวจเอก...... จากภูธร 6 จังหวัดพิษณุโลก เราถามเขาว่ามีตำแหน่งเป็นอะไร เขาบอกว่าเป็น “พนักงานสืบสวนสอบสวน”(นี่ก็มั่ว ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้) และแจ้งว่า “สำนักงานป้องกันและการปราบปรามการทุจริตการฟอกเงิน ปปง.” (มั่วมากๆ เรียกชื่อยังไม่ถูกเลย) มาตรวจสอบพัสดุพบสมุดบัญชี 30 เล่ม บัตร ATM 30 ใบ เงินสด 1 แสนบาท 24 รายชื่อ หนึ่งในนั้นเป็นสมุดบัญชีของเรา เป็นของธนาคาร...... อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งปปง. แจ้งว่า บัญชีนี้ใช้ในการฟอกเงิน มูลค่าเสียหายประมาณ 1 ล้าน 7 แสนบาท ถ้าเป็นเรื่องของเราเขาจะส่งเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัว(ข่มขู่ให้ตกใจกลัว) เรารู้แต่แรกแล้วว่าเป็นไอ้พวกลวงโลก เราเลยบอกว่าส่งมาเลย ส่งมาเลย ถ้ามีหลักฐานก็มาเลย ไอ้ตำรวจปลอมมันกลับบอกว่ามีคนแอบอ้างปลอมเอกสารของเรา และทางสำนักงานป้องกันและการปราบปรามการทุจริตการฟอกเงิน(หน่วยงานบ้าบออะไรของมัน) แจ้งว่า ไม่ทันที่มันจะพูดต่อเราก็พูดแทรกว่า “โอ๊ย พูดยังไม่ชัดเลย เวรจริงๆ” เท่านั้นแหละได้เรื่อง น็อตมันหลุดกระเด็นทันที

มันสำราก  “ไอ้ควาย กูพูดกับมึงดีๆนะ”
เรา  “ก็มึงเป็นควายก่อนช่วยไม่ได้นี่ มึงอยากเป็นควายก่อน กูไม่รู้จะช่วยมึงยังไง”
มัน  “มึงน่ะควาย อีเหี้ยยยยเอ๊ย”
เรา “เอ็ดแม่มึงสิ ไอ้สัดเอ๊ย ไอ้เหี้ย ไอ้โง่ ไอ้ควาย”
ถึงตรงนี้ ไอ้ตำรวจเก๊ได้หลุดพูดบางอย่างที่เราต้องขอบคุณมันจริงๆ
มัน “มึงเมื่อไหร่จะไป เมื่อไหร่จะไป” (งงใช่ไหมว่ามันพูดอะไรของมัน เดี๋ยวจะเฉลยข้างล่าง)
เรา “มึงสิไป กูอยู่ของกูมาตั้งนานแล้ว (ตามด้วยคำสรรเสริญมันชุดใหญ่ยักษ์)”
มันพูดอีกสองคำซึ่งฟังไม่รู้เรื่องแล้ววางหูโทรศัพท์ไปเลย

                    การที่ตำรวจเก๊พูดว่า “มึงเมื่อไหร่จะไป เมื่อไหร่จะไป” ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องราวที่มันอุปโลกขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่รู้กันระหว่างมันหรือเครือข่ายของพวกมันกับเรา พวกนั้นบีบบังคับกดดันเราต่อเนื่องมายี่สิบเอ็ดปีเพื่อให้เราขายบ้านและที่ดินในย่านเอกมัยทองหล่อซึ่งเราอยู่มา 60 ปี(ตั้งแต่ พ.ศ. 2500)แบบขายทิ้งถูกๆ มุขก่อกวนประจำวันที่พวกเครือข่ายอำนาจนอกระบบใช้กับเราเป็นประจำทุกวันคือการไล่ด้วยคำว่า “ไป, ไปเลย” ถ้าเป็นด้านติดคลองก็จะใช้พวกสลัมที่บุกรุกคลองคอยตะโกนไล่ลอยๆ(ใช้คนที่อยู่อย่างผิดกฎหมายมาขับไล่คนที่อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ยิ่งตอนนี้มาถึงจุดที่บีบพวกเขามากขึ้น เพราะอั้นไม่อยู่แล้ว เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมบางอย่าง เช่น มีการรื้อย้ายสลัมที่บุกรุกคลองบางส่วนออกไป เป็นสัญญาณบวกต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริเวณนี้ และเชื่อว่าปีหน้านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างซึ่งจะทำให้พวกเขาบีบบังคับเรายากยิ่งขึ้น พวกเขาเองก็คงมีเงื่อนไขและเงื่อนเวลาบางอย่างบีบอยู่ด้วย  สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ(Reverse Mortgage) ที่ล่าช้ามาเป็นปี(ทั้งที่ไม่น่าจะต้องล่าช้าขนาดนั้น)ก็ทำท่าจะต้องคลอดจริงๆแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะปิดกั้นเราทางเศรษฐกิจเพื่อบีบให้เราขายบ้านไม่ได้อีกต่อไปจึงต้องเร่งรัดเผด็จศึก

                    บ้านเราอีกด้านหนึ่งติดแฟลตตำรวจก็จะใช้บริการพวกสลัมที่เข้าไปใช้พื้นที่บริเวณแฟลตและลูกหลานตลอดจนครอบครัวตำรวจบางคนก่อกวน  โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นเดือนธันวาฯ 60 มานี้ จะมีกลุ่มคนซึ่งเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นพวกสลัมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ขึ้นไปจับกลุ่มส่งเสียงดังรบกวนอยู่บนตึกแฟลตตำรวจที่ติดกับบ้านเราแทบทุกวัน พอโทรแจ้ง สน. บ่อยๆเข้าก็เกิดเหตุโทรไม่ติดจนต้องใช้บริการ 191 แทน  ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น มีกลุ่มคนอ้างว่าเป็นตำรวจจะขอเข้าบ้านตอนตีสี่กว่า วันนั้นเป็นวันที่ 16 กันยายน 2560 เวลา 4.23 น. เราเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มีเสียงกระแทกประตูรั้วโครมคราม เสียงคนวิ่งเข้ามาจากหน้าบ้านผ่านใต้ถุนบ้านปีนรั้วออกไปด้านติดคลองแล้ววิ่งไปทางแฟลตตำรวจ(มันหนีตำรวจไปทางแฟลตตำรวจ??) ขณะเดียวกันก็มีชาย 4-5 คน อออยู่หน้าประตูรั้วโหวกเหวกดังอื้ออึง เราถามไปว่ามีอะไร ชายคนหนึ่งตะโกนตอบว่าเป็นตำรวจ มีคนทุบกระจกรถหนีเข้าบ้านเรา ขอเข้าไปในบ้านเราได้ไหม เราบอกว่าคนนั้นปีนรั้วออกไปทางแฟลตตำรวจแล้ว พวกเขาก็พากันออกไปจากจากซอย (ใครจะกล้าให้เข้าบ้านยามวิกาลอย่างนั้น ต่อให้เป็นตำรวจจริงก็เถอะ !!)

                    สรุป เหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้แท้จริงแล้วเป็นการหยิบยืมวิธีการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาใช้กับเรา เสียดายที่เราไม่ได้เล่นไปกับเขาเลยไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการอะไรแน่ แต่เมื่อเอามุขนี้มาใช้ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามีเป้าประสงค์จะดูดเงินเราออกไปให้มากที่สุด ซึ่งหากสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ(Reverse Mortgage) ที่เรารออยู่ต้องล่าช้าออกไปอีก(จะด้วยเหตุที่แปลกประหลาดพิศดารใดๆก็ตามไม่ว่าจะเป็นคลอดช้าหรืออนุมัติช้า) เราก็จะถูกบีบจนต้องขายที่ทิ้งถูกๆตามที่พวกเขาต้องการ เฮ้อ! ไม่รู้คิดแผนนี้ได้ไง ระยะนี้ข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดมีให้เห็นทุกวัน เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วละลุง แถมยังมาหลุดเผยไต๋ไล่เราอีก เราเลยรู้ว่าเป็นพวกแก๊งโจรปล้นที่ดินนี่เอง มีข้อสังเกตว่าหญิงที่อ้างตัวเป็นประชาสัมพันธ์ไปรษณีย์กลางมีความชำนาญในการพูดจาหว่านล้อมและบ่ายเบี่ยงเมื่อถูกซักไซร้ราวกับคนทึ่คุ้นเคยกับงานประเภทนี้ จึงสงสัยว่าเครือข่ายที่บีบบังคับกดดันเราอยู่นี้ใช้บริการจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริงๆ และสงสัยต่อไปว่าพวกเขาอาจมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงหรือแม้แต่ทำมาหากินกับมิจฉาชีพกลุ่มอื่นๆด้วย    ...........เพราะเงินหมุนเวียนนอกระบบมันเยอะมากกกก !!


                    

Tuesday, December 13, 2016

สินเชื่อ Reverse Mortgage (RM) ตอนที่ 1 ใครได้ - ใครเสีย



          หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Reverse Mortgage หรือ RM มาบ้าง คำๆนี้ปรากฏขึ้นในสังคมไทยมาไม่น้อยกว่าเจ็ดปี แต่ถ้าจะพูดถึงบริการสินเชื่อแบบนี้จะย้อนไปได้ถึงสิบห้าสิบหกปีทีเดียว ซึ่งเวลานั้นมีธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งนำเสนอแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงเงียบหายไป อย่างไรก็ตามปีสองปีที่ผ่านมาจะได้ยินคำว่า Reverse Mortgage ถี่หน่อยโดยเฉพาะเมื่อต้นปี 2559 จนตอนนั้น “ผู้สูงอายุ” ซึ่งรวมถึงเราด้วยเกือบจะได้ “เฮ” กันแล้ว แต่แล้วก็วืด เจ้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและช่วยให้รอดพ้นจากการ “ถูกบีบ” ให้ต้องขายบ้าน  สิ่งที่ผู้สูงอายุใจจดใจจ่อรอดูอยู่ตอนนี้ก็คือรัฐบาลจะทำให้ Reverse Mortgage เป็นจริงได้เมื่อไร ภายในสิ้นปี 59 นี้อย่างที่บางคนพูดไว้ได้หรือไม่?

Reverse Mortgage (RM) คืออะไร

          Reverse Mortgage ถ้าแปลตรงๆก็จะได้คำว่า “การจำนองแบบย้อนกลับ”  แต่ศัพท์ภาษาไทยที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย(ซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บัญญัติ)รวมทั้งหน่วยงานรัฐ คือ “สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ” เรายังพบว่ากระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยใช้คำว่า “สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ” นี้ กับโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ(Senior Complex) ด้วย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ Reverse Mortgage ดังนั้นเมื่อพูดถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุที่เป็น Reverse Mortgage ก็ควรระบุคำว่า Reverse Mortgage ควบคู่ไปด้วยเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นเรื่องไหน
          Senior Complex เป็นสินเชื่อให้ผู้สูงอายุหรือทายาทกู้ซื้อที่พักอาศัยที่รัฐจัดสร้างให้เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ ส่วน Reverse Mortgage เป็นกรณีที่ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่เป็นเจ้าของบ้านที่ปลอดภาระหนี้นำบ้านของตนเองไปจำนองกับสถาบันการเงิน แต่แทนที่ผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้กู้จะได้เงินก้อนแล้วผ่อนชำระเป็นงวดๆให้กับสถาบันการเงินเหมือนการจำนองทั่วไป สถาบันการเงินจะเป็นผู้จ่ายเงินให้ผู้สูงอายุเป็นรายเดือนไปจนกว่าผู้สูงอายุจะสิ้นชีวิตหรือจนกว่าจะครบกำหนดเวลาตามสัญญา เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี เป็นต้น และเมื่อผู้สูงอายุเสียชีวิตก็ให้ทายาทไถ่ถอนคืนได้ หากไม่ไถ่ถอนคืนสถาบันการเงินจะขายทอดตลาดแล้วคืนส่วนเกินให้ทายาท ส่วนกรณีครบกำหนดเวลาตามสัญญาผู้สูงอายุอาจทบทวนขยายสัญญาต่อไปได้อีกเพราะเมื่อถึงเวลานั้นมูลค่าบ้านน่าจะสูงกว่าเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนมาก 
          หลังจากที่รอกันมานาน RM ก็ใกล้จะเป็นจริงเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบให้ดำเนินมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4 มาตรการตามที่กระทรวงการคลังเสนอซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ(RM) โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ(ณ เวลานี้จะเป็นธนาคารออมสิน) เป็นผู้นำร่องผลิตภัณฑ์ RM ซึ่งกรณีที่มีคู่สมรสก็ให้รับสิทธิต่อเนื่องจนกว่าจะหมดอายุสัญญาหรือเสียชีวิตทั้งคู่

ใครได้ ใครเสีย

          ประชาชนผู้สูงวัยที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพแต่มีบ้านที่ปลอดภาระหนี้เป็นของตนเองไม่จำเป็นต้องขายบ้านในราคาที่ “ถูกบีบ” อีกต่อไป ส่วนผู้สูงวัยที่ต้องการเพิ่มรายได้ก็จะมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน ทำให้ลูกหลานลดภาระทางการเงิน มีเงินเหลือไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น คุณภาพชีวิตของลูกหลานก็จะดีขึ้นด้วย การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้ก็จะไปช่วยขับเคลื่อนการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศ สถาบันการเงินก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยมีความเสี่ยงน้อยเพราะมีหลักทรัพย์เป็นประกัน เกิดธุรกิจต่อเนื่อง เช่น การค้ำประกันสินเชื่อชนิดนี้ การขยายตัวของธุรกิจบ้านมือสอง เป็นต้น  ในส่วนของรัฐก็จะช่วยลดภาระการดูแลประชาชนผู้สูงวัย ลดภาระด้านงบประมาณในการรองรับการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกปี  และรัฐยังจะได้รับความชื่นชมว่าดูแลไม่ทอดทิ้งผู้สูงอายุและปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงต่อสภาเมื่อ 12 กันยายน 2557 พูดมาถึงตรงนี้อาจดูเหมือนใครๆต่างก็ได้ประโยชน์จาก Reverse Mortgage กันถ้วนหน้า แต่ช้าก่อน เมื่อมีฝ่ายที่ได้ ก็มีฝ่ายที่เสีย มีคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์จากผลิตภัณฑ์นี้.....  กลุ่มที่จ้องฮุบหรือบีบซื้อที่ดินถูกๆไง
          ทุกวันนี้เรายังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องทั้งที่บ้านและนอกบ้านทั้งที่ผู้มีอิทธิพลระดับสูงที่เราเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังได้ตายไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน รูปการณ์ที่เป็นอยู่บ่งบอกว่าเครือข่ายอำนาจนอกระบบจะไม่หยุดบีบบังคับเราจนกว่าเราจะยอมศิโรราบจนพวกเขาสบายใจ(ทั้งๆที่เป็นความอ่อนแอทางความคิดและจิตใจของพวกเขาเอง) ซึ่งรวมถึงการขายบ้านย้ายออกไปจากที่นี่ด้วย เราเคยบอกขายบ้าน ไม่ใช่เพราะเรายอมแพ้ แต่เพราะปัญหาทางการเงิน แต่ด้วยอิทธิพลของเครือข่ายอำนาจนอกระบบที่ควบคุมทุกภาคส่วนของสังคม ทำให้เราขายบ้านไม่ได้เว้นเสียแต่จะยอมขายในราคาที่พวกเขากำหนด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นราคาที่เราก็รับไม่ได้เช่นกัน  สภาพเช่นนี้ชี้ว่าเครือข่ายอำนาจนอกระบบกับเครือข่ายผลประโยชน์ในสังคมไทย(ไม่จำกัดสัญชาติ)มีการร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การบีบบังคับให้เราออกไปจากที่นี่ก็เท่ากับช่วยกลุ่มผลประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อบ้านรอบๆบ้านเราไปแล้วให้สามารถบีบซื้อบ้านเราแบบถูกๆนั่นเอง เรื่องต่างๆที่เครือข่ายนี้หยิบยกขึ้นอ้างในการกดดันเราแท้จริงแล้วก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง แต่ในที่สุดการยืนหยัดต่อสู้อันยาวนานก็ให้ผลตอบแทน  Reverse Mortgage ที่ถูกฉุดถูกยื้อมาเป็นสิบปีก็ใกล้คลอด แต่จะเมื่อไหร่ล่ะ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2559 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ้างผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่าภายในปีนี้ธนาคารออมสินจะเปิดให้บริการ RM ฟังแล้วมีความหวังว่าผู้สูงอายุจะได้ “เฮ” กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ไม่กี่วันต่อมาความหวังที่จะได้ใช้ RM ในเร็ววันก็กลับริบหรี่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐวันที่ 12 ธันวาคม 2559 เสนอบทสัมภาษณ์ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ว่า ธปท.ให้ความเห็นเกี่ยวกับ RM ว่า “ต้องศึกษาเงื่อนไขจากต่างประเทศที่เคยทำ และทำให้ครบทุกบริบทที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งในส่วนของราคาประเมินอสังหาริมทรัพย์ที่จะให้เงินกู้ และต้องมีกรอบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับลูกหลาน เพื่อไม่ให้กลายเป็นคดีฟ้องร้องในอนาคต” เมื่อผู้ว่า ธปท. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐซึ่งรวมถึงธนาคารออมสินแสดงความเห็นเช่นนี้ก็เกิดคำถามว่าธนาคารออมสินไม่ได้ดำเนินการในเรื่องเหล่านั้นเลยหรือ? ที่ธนาคารออมสินเสนอมานั้นยังไม่ชัดเจนหรือ? ธนาคารออมสินไม่ได้ศึกษาเงื่อนไขต่างๆเกี่ยวกับ RM อย่างเพียงพอก่อนเสนอ ธปท. หรือ? แล้ว ธปท. จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนจึงจะได้ข้อยุติในเรื่องเหล่านั้น?  จริงๆแล้วผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวด้วยว่า รูปแบบและวิธีการปล่อยกู้ RM ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก แต่เนื่องจากเป็นการให้บริการรูปแบบใหม่ ธนาคารออมสินจึงนำ RM ไปให้ ธปท. พิจารณาเนื่องจาก ธปท.เป็นผู้กำกับดูแล” แต่คำพูดของผู้ว่า ธปท. ในเวลาต่อมากลับเสมือนว่ายังมีเรื่องต้องพิจารณาใคร่ครวญอีกเยอะ เราเชื่อว่าธนาคารออมสินคงจะได้พิจารณาปัจจัยต่างๆก่อนเสนอไปที่ ธปท. แล้ว เพราะเท่าที่ติดตามเรื่องนี้เราพบว่าก่อนหน้านี้มีการประชุมกันระหว่าง ธปท.กับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจเกี่ยวกับ RM (น่าจะหลายครั้ง) และน่าจะได้ข้อยุติไปตั้งแต่ก่อนเสนอเข้า ครม.เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 แล้ว  ตอนนี้ก็ได้แต่รอดูใจรัฐบาลว่าจะเอายังไง จะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปเรื่อยๆโดยปราศจากกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนหรือ? และถ้ารัฐทำแล้วมันยุ่งยากเงื่อนไขเยอะ ทำไมไม่ให้สถาบันการเงินเอกชนซึ่งคล่องตัวกว่าและมีความพร้อมทำเรื่องนี้?
          คิดกันบ้างไหมว่าความล่าช้ายืดเยื้อที่เป็นอยู่จะทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องรอคอยด้วยความยากลำบาก และกี่รายที่ถูกบีบให้ต้องขายบ้านเพราะไม่อาจรอรัฐทำคลอด RM ได้อีกต่อไป  ความล่าช้านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลยไม่ว่าจะฝ่ายรัฐหรือผู้สูงอายุ แต่กลุ่มทุนที่ต้องการจะฮุบหรือบีบซื้อบ้านผู้สูงอายุแบบถูกๆจะรับประโยชน์จากความล่าช้านี้ไปเต็มๆ


Sunday, October 04, 2015

สาระสำคัญ - ร่าง พรบ ซ้อมทรมานและบังคับให้คนสูญหาย


นายปิยนันต์ มธุรมน
 นายแพทย์ชำนาญการ
 กลุ่มนิติเวชคลินิก
สำนักนิติวิทยาศาสตร์บริการ ๒
 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์

 สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหาย 
ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย

 หลักการและเหตุผล
                  การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจยกเว้นให้กระทำได้ไม่ว่า สถานการณ์ใดๆ แม้ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และร่วมลงนาม ในอนุสัญญา คุ้มครองบุคคลจากการบังคับให้สูญหาย แต่ยังไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดฐานความผิด มาตรการป้องกัน และปราบปราม มาตรการเยียวยาผู้เสียหาย และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับ ข้อบทในอนุสัญญา ดังกล่าว จึงไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและช่วยเหลือเยียวยา ผู้เสียหายได้สมดังเจตนารมณ์ของ อนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าผูกพันอีกทั้งอนุสัญญาทั้งสองต่างมีลักษณะร่วมกัน หลายเรื่องที่ กำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับ การป้องกัน และปราบปรามการทรมานและการ บังคับบุคคลให้สูญหายให้รวมกันอยู่ในฉบับเดียว จึงเป็นแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยให้เทียบเท่าสากลจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

 มาตรา ๑ - ๔ คำนิยามการทรมาน
 . การกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ายีศักดิ์ศรี, การบังคับบุคคลให้สูญหาย,เจ้าหน้าที่ของรัฐ, ผู้เสียหาย, คณะกรรมการ, คดีทรมาน, คดีบังคับบุคคลให้สูญหาย, การจำกัด เสรีภาพบุคคล

หมวด ๑ การปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย (มาตรา ๕ - ๑๖)
 . ความผิดและบทกำหนดโทษของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย
 . ความผิดและบทกำหนดโทษของผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ได้รับการสนับสนุนและยุยง จากเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย
 . ความรับผิดและบทกำหนดโทษของผู้บังคับบัญชา . บทกำหนดอายุความ
 . การห้ามรับฟังคำให้การที่ได้มาจากการกระทำทรมานหรือการบังคับบุคคลให้สูญหาย  

หมวด ๒ การป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย (มาตรา ๑๗ - ๒๔)
 . หลักเกณฑ์ในจำกัดเสรีภาพของบุคคลโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
 . สิทธิในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกจำกัดเสรีภาพ
 . สิทธิในการร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งระงับการกระทำทรมานหรือบังคับบุคคลให้สูญหาย
 . อำนาจศาลในการไต่สวนคดีเพื่อการระงับการทรมาน หรือบังคับบุคคลให้สูญหาย และเยียวยา ความเสียหายเบื้องต้น
 . ข้อห้ามในการผลักดันกลับ (non-refoulement)

 หมวด ๓ คณะกรรมการ (มาตรา ๒๕ - ๓๕)
 . การแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
 . การกำหนดคุณสมบัติ วาระการดารงตาแหน่ง และอำนาจหน้าที่คณะกรรมการ
 . กำหนดให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นสำนักงานธุรการของคณะกรรมการฯ

 หมวด ๔ การดำเนินคดีทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย (มาตรา ๓๖ - ๔๓)
 . การแจ้งความดำเนินคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย
 . การขอให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหรือเข้าร่วมปฏิบัติ หน้าที่
 . การกำหนดให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมีอำนาจมอบหมายให้พนักงานอัยการ หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา
 . เป็นพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ คนหนึ่งคนใดเข้าร่วมสอบสวนคดี
 . ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจพิจารณาในการจัดให้มีนักนิติวิทยาศาสตร์ แพทย์ หรือจิตแพทย์ เข้าร่วมในการสืบสวนสอบสวน
 . การกำหนดให้การสืบสวนการสอบสวนและการดำเนินคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย ให้ใช้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยอนุโลม
 . การกำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ ดำเนินคดีและที่ปรึกษาคดี ได้รับค่าตอบแทนตามที่กำหนดในระเบียบของกระทรวงยุติธรรม 

บรรณานุกรม
 บันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับ บุคคลให้สูญหาย. เข้าถึงได้จาก: https://voicefromthais.files.wordpress.com/2014/12/2.pdf. (วันที่ค้นข้อมูล 27 มีนาคม 2558)  

สาระสำคัญของอนุสัญญาคุ้มครองคนหายโดยถูกบังคับ


สาระสำคัญ
อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ
(International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED)

         ข้อมติสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ (United Nations General Assembly-UNGA) สมัยที่ 61 ได้รับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับเมื่อ วันที่ 20 ธันวาคม 2549 โดยได้เปิดให้มีการลงนามตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 ธันวาคม 2553 ปัจจุบันมีประเทศลงนามแล้ว จานวน 93 ประเทศ และประเทศที่เป็นภาคีแล้ว จานวน 40 ประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2556)

การเข้าเป็นภาคีของไทย 
        คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบการลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอและกระทรวง การต่างประเทศได้ดำเนินการลงนาม (Signature) ในอนุสัญญาดังกล่าวต่อองค์การสหประชาชาติแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555
        อย่างไรก็ตามการลงนามดังกล่าวแม้จะยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย แต่ถือเป็นการแสดง เจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยที่มีความตั้งใจจริงในการส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเห็น ความสาคัญของการแก้ไขปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย ซึ่งจะได้ดำเนินการเข้าเป็นภาคีในอนาคตอันใกล้นี้

สาระสาคัญ
        มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดให้การทำให้บุคคลหายสาบสูญโดยถูกบังคับเป็นฐานความผิดตาม กฎหมายอาญา (เน้นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการกระทำในนามเจ้าหน้าที่รัฐ) รวมทั้งกาหนดโทษของ ความผิดดังกล่าว โดยรัฐจะต้องกำหนดให้ตนมีเขตอำนาจศาลเหนือความผิดฐานกระทำให้บุคคลหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ ถึงแม้ว่าบุคคลที่หายสาบสูญ หรือบุคคลที่ประกอบอาชญากรรมดังกล่าวจะไม่ใช่คนชาติของตน และการทำให้หายสาบสูญก็มิได้เกิดขึ้นในดินแดนของรัฐตน ทั้งนี้ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาจะไม่สามารถยกขึ้น เป็นข้ออ้างสาหรับการกระทำให้บุคคลหายสาบสูญได้ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และจัดให้เหยื่อและสมาชิกในครอบครัวได้รับการเยียวยาและชดเชยอย่างเหมาะสม

คณะกรรมการว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (Committee on Enforced Disappearances)
        คณะกรรมการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับด้านสิทธิมนุษยชน จานวน 10 คน ปฏิบัติหน้าที่ อย่างเป็นอิสระ จากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากรัฐภาคี โดยคำนึงถึงหลักกระจายตามภูมิศาสตร์ มีสัดส่วนหญิง ชายที่เท่าเทียมกัน โดยมีวาระดำรงตาแหน่งครั้งละ 4 ปี

คณะกรรมการว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ มีหน้าที่
        1. พิจารณารายงานของรัฐภาคี และให้ข้อคิดเห็น ข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะ (Observations, Recommendations) แก่รัฐในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญา
        2. ให้ข้อวินิจฉัย (General Comments) ในการตีความพันธกรณี
        3. การรับข้อร้องเรียนจากญาติ หรือผู้แทนทางกฎหมายของผู้สูญหาย ในกรณีเร่งด่วน เพื่อให้ติดตามหา ผู้สูญหายได้

ที่มาและอนุสัญญาฉบับเต็ม : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม

สาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน


สาระสำคัญ
อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย
ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
(Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or
Punishment : CAT)

สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้รับรองอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่น ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่่ายีศักดิ์ศรี เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2527 และมีผลบังคับใช้เมื่อ 26 มิถุนายน 2530 ปัจจุบันมีประเทศลงนามแล้ว จ่านวน 80 ประเทศ และมีประเทศที่เป็นภาคีแล้ว 154 ประเทศ (ข้อมูล ณ 1 ตุลาคม 2556)

การเข้าเป็นภาคีของไทย
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ โดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป ภายหลังการเข้าเป็นภาคีประเทศไทยมีพันธกรณีต้องจัดท่ารายงานฉบับแรกภายใน 1 ปี เสนอต่อคณะกรรมการประจ่าอนุสัญญาฯ ตามมาตรา 19 ที่ระบุในอนุสัญญาฯ

การทำคำแถลงตีความ (Interpretive Declaration) และข้อสงวน (Reservation) 4 ประเด็น ดังนี้
1) ทำคำแถลงตีความ ข้อบทที่ 1 เรื่องคำนิยามของคำว่า “การทรมาน” เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญาของไทยที่ใช้ในปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติจำกัดความโดยเฉพาะ ประเทศไทยจึงตีความความหมายของคำดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยที่ใช้บังคับในปัจจุบัน
2) ทำคำแถลงตีความ ข้อบทที่ 4 เรื่องการกำหนดให้การทรมานทั้งปวงเป็นความผิดที่ลงโทษได้ตามกฎหมายอาญา และนำหลักการนี้ไปใช้กับการพยายาม การสมรู้ร่วมคิด และการมีส่วนร่วมในการทรมาน ประเทศไทยตีความในกรณีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยที่ใช้บังคับในปัจจุบัน
3) ทำคำแถลงตีความ ข้อบทที่ 5 เรื่องให้รัฐภาคีด่าเนินมาตรการต่างๆ ที่อาจจำเป็นเพื่อให้ตนมีเขตอ่านาจเหนือความผิดที่อ้างถึงตามข้อบทที่ 4 ของอนุสัญญาฯ โดยประเทศไทยตีความว่าเขตอ่านาจเหนือความผิดดังกล่าวเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยที่ใช้บังคับในปัจจุบัน
ตั้งข้อสงวนในข้อที่ 30 โดยประเทศไทยไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) เป็นการล่วงหน้า เว้นเสียแต่จะพิจารณาเห็นสมควรเป็นกรณีไป


สาระสำคัญ
อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่น ที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี มีบทบัญญัติ 37 ข้อ
1) วัตถุประสงค์เพื่อระงับและยับยั้งการกระทำการทรมานและทารุณกรรมในทุกรูปแบบและทุกสถานการณ์ โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขึ้น เพื่อดูแลไม่ให้มีการกระทำการทรมานในรัฐภาคี และให้รัฐภาคีออกมาตรการทางกฎหมายหรือมาตรการต่างๆที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำการทรมานในประเทศตน
2) กำหนดให้การทรมานเป็นสิ่งต้องห้าม แม้ว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินภาวะสงคราม หรือปัจจัยคุกคามภายนอกรวมทั้งค่าสั่งการของเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ไม่เป็นข้อยกเว้นให้มีการทรมานได้
3) ห้ามการส่งผู้ลี้ภัย และบุคคลอื่นๆกลับประเทศในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หากมีเหตุอันควรเชื่อว่าเขาผู้นั้นจะต้องถูกส่งกลับไปทรมาน และให้รัฐผู้ส่งนำข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐผู้ร้องขอ มาประกอบการตัดสินใจในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนด้วย
4) กำหนดให้รัฐภาคีบัญญัติให้การกระทำการทรมานเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและมีการลงโทษที่เหมาะสม รวมทั้งให้รัฐภาคีมีเขตอำนาจศาลในการด่าเนินคดีฐานการทรมาน ทั้งในเรื่องการสอบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดี รวมทั้งให้มีการส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีได้รับการร้องขอ และให้มีความร่วมมือในการสืบคดี ทั้งในกระบวนการทางอาญาและทางแพ่ง
5) กำหนดให้รัฐภาคีมีพันธกรณีในการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เพื่อป้องกันการกระท่าทรมาน และติดตามตรวจสอบการจับกุม คุมขังต่างๆซึ่งเกิดขึ้นในเขตอ่านาจ เพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำทรมานเกิดขึ้น
6) กำหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ถูกทรมานให้มีสิทธิฟ้องร้องด่าเนินคดีโดยรัฐจะต้องเร่งให้มีการสอบสวนและด่าเนินคดีดังกล่าว และหากพิสูจน์ว่าเป็นความจริง ผู้เสียหายย่อมได้รับค่าชดเชยอย่างเต็มที่
7) ห้ามรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระท่าทรมานและห้ามการกระท่าซึ่งแม้จะไม่ถือว่าเป็นการทรมาน แต่ถือเป็นการลงโทษอื่นๆที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
        8) บัญญัติในภาค 2 ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน เป็นองค์กรกำกับดูแล ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระจ่านวน 10 คน

ที่มา และอนุสัญญาฉบับเต็ม : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม


Friday, June 17, 2011

ไทยควรจะมีเรือดำน้ำได้แล้ว


ทราบข่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่ากองทัพเรือไม่ได้รับการอนุมัติเรื่องการซื้อเรือดำน้ำมือสองจากเยอรมัน จำนวน 6 ลำ ราคา 7 พันกว่าล้าน(บาท) ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะประเทศไทยมีเขตแดนทางทะเลยาวเหยียดทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีพื้นที่ทางทะเลที่จะต้องปกปักรักษากว้างใหญ่ไพศาล โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเลที่ชนกับประเทศรอบบ้านทุกประเทศ ทั้งกัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซียในด้านอ่าวไทย และชนกับพม่า อินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทางด้านอันดามัน ทำให้กองทัพเรือต้องมีภาระรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงควรมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งซึ่งรวมถึงการมีอาวุธที่มีอานุภาพสูงอย่างเรือดำน้ำด้วย

ต่อมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้ มีโอกาสได้ดูสารคดีเรื่อง “สะพานเดินเรือ” ทางโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่งทำให้ทราบว่า หากกองทัพเรือมีเรือดำน้ำก็จะทำให้การปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ทางทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลทั้งด้านทะเลอันดามันและด้านอ่าวไทยด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้เรือรบ(เรื่องการส่งกำลังบำรุง ฯลฯ) มีความคล่องตัวสูง และสามารถหลบหลีกการตรวจพบจากฝ่ายตรงข้ามได้ดีกว่า รวมทั้งใช้สืบหาข้อมูลหาข่าวต่างๆได้อย่างมีประสิทธิผล และที่สำคัญการมีเรือดำน้ำยังช่วยในการป้องปรามฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี

เมื่อครั้งที่เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ทรงรับราชการในกองทัพเรือ พระองค์เคยเสนอว่ากองทัพเรือควรมีเรือดำน้ำประจำการอย่างน้อย 9 ลำ เพื่อลาดตระเวนให้ทั่วถึงทั้งด้านอันดามันและอ่าวไทย ชื่อ “อ่าวไทย” ก็บอกอยู่แล้วว่าทะเลตรงนี้เป็นศักดิ์ศรีของประเทศไทย เราไม่สมควรจะมีเครื่องมือดีๆอย่างเรือดำน้ำไว้คอยดูแลปกป้องน่านน้ำของเรา เพื่อทำให้ศัตรูเกรงขามบ้างหรือ หลายสิบปีมาแล้วที่กองทัพเรือของไทยไม่มีเรือดำน้ำ ทั้งๆที่มีกำลังพลด้านนี้พร้อมอยู่นานแล้ว และในอดีตราว พ.ศ 2481 กองทัพเรือไทยก็เคยมีเรือดำน้ำถึง 4 ลำ ซื้อจากประเทศญี่ปุ่น แต่ต้องปลดประจำการหลังจากใช้งานมา 10 กว่าปี เพราะประสบปัญหาเรื่องอะไหล่เนื่องจากญี่ปุ่นแพ้สงครามและถูกห้ามมิให้ผลิตอะไหล่เรือดำน้ำ

จากประเทศที่เคยมีเรือดำน้ำเป็นอันดับต้นๆของเอเซีย ปัจจุบัน เราไม่มีเรือดำน้ำเลยแม้แต่ลำเดียว ขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนเกือบทุกประเทศมีเรือดำน้ำกันแล้ว แม้แต่ประเทศเล็กๆอย่างกัมพูชาก็กำลังจะมีเรือดำน้ำ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ไทยจะมีเรือดำน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพเรือในอันที่จะปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ หรือจะรอให้เขมรมีเรือดำน้ำก่อน เราจึงจะค่อยรู้สึกกัน และถ้าต้องรอให้ถึงตอนนั้นไทยอาจต้องเสียโอกาสและผลประโยชน์อย่างที่ไม่ควรจะต้องเสียก็ได้ และอาจต้องจดจำกันไปชั่วลูกชั่วหลานว่าเขมรมีเรือดำน้ำก่อนไทย !

….อุปสรรคยาวนานของเรื่องนี้อยู่ที่ใคร?....

....หรือว่าต้องเปลี่ยนสัญชาติเรือดำน้ำ เหมือนที่เป็นข่าวเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากจีนซึ่งติดขัดไปหมด ขณะที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หรือแม้แต่พม่า มีความคืบหน้าไปมากแล้ว... ยังไม่นับเรื่อง 3 G นะ....


Sunday, February 20, 2011

กิริยามารยาท ?


ตอนนี้เราติดซีรีส์เกาหลีเรื่อง แดจังกึม พอใกล้หนังจะมาเราจะดูช่องนี้ ทำให้ได้ดูรายการกีฬาช่วงท้ายข่าวเที่ยงไปด้วย วันนี้ผู้ดำเนินรายการพูดเรื่องการถ่ม(ถุย)น้ำลายซึ่งรวมถึงการถ่มน้ำลายของนักกีฬาประเภทต่างๆ ตั้งแต่ กอล์ฟ บอล เทนนิส ว่าเป็นการกระทำที่หยาบ เป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่ไร้ความเจริญและไร้มารยาท และพูดถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง ซึ่งทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ เพื่อไม่ให้ชาวโลกดูถูก เมื่อฟังตามที่เขากล่าวมานี้ ดูเหมือนผู้ดำเนินรายการจะเข้าใจเรื่องกิริยามารยาทพอสมควร

ก่อนหน้านี้ผู้ดำเนินรายการพูดถึงโรนัลโด สุดยอดนักฟุตบอลชาวบราซิล และเป็นนักฟุตบอลในดวงใจของเขา เป็นสกู๊ปของโรนัลโดโดยเฉพาะ แต่ที่เราจะพูดถึง คืออาการที่อาจอินกับเรื่องที่พูดมากไปหรือไงไม่ทราบ มีช่วงหนึ่งเขาเตะเท้ามาข้างหน้าแทบจะตรงมายังผู้ชมทางบ้าน ขนาดเห็นพื้นรองเท้าของเขา เป็นกิริยาที่ไม่สมควรอย่างยิ่งโดยเฉพาะในวัฒนธรรมไทย และผู้ดำเนินรายการน่าจะทราบดีเพราะเป็นคนไทยคนหนึ่ง สถานภาพการเป็นผู้ดำเนินรายการกีฬาของเขาอาจมีอิทธิพลต่อทัศนคติและการเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ การพูดตามสคริปจะให้ดีอย่างไรก็ได้ แต่การกระทำต้องสอดคล้องตามที่พูดด้วย กิริยามารยาทที่ดีของสังคมเราก็ควรรักษาและทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่เยาวชน อย่าลืมว่าขณะใดขณะหนึ่งจะมีผู้ชมทางบ้านทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากเด็กและเยาวชนรุ่นเดียวกับผู้ดำเนินรายการแล้ว ยังมีผู้ใหญ่รุ่นลุงป้าน้าอาของผู้ดำเนินรายการดูอยู่เป็นจำนวนมากและอาจเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ดูอยู่ด้วยซ้ำ และในจำนวนนี้อาจมีหลายคนเป็นครูบาอาจารย์ของเขาเองหรือบุคคลที่เขาเคารพนับถือ

มีครั้งหนึ่ง ราชบัณฑิตท่านหนึ่งที่มาออกรายการโทรทัศน์ได้กล่าวเตือนสติผู้ดำเนินรายการทั้งหลายเรื่องการใช้ถ้อยคำว่าบุคคลในสถาบันที่พวกเขากราบไหว้ก็ดูอยู่ด้วย ซึ่งคำเตือนสตินี้ย่อมรวมถึงกิริยาอาการอื่นๆด้วย ฉะนั้น จะทำอะไรก็คิดกันบ้าง ไม่ได้มีแต่คนที่พวกคุณอยากให้ดูเท่านั้นที่ดูอยู่ หรือว่าก็รู้ แต่ไม่แคร์ และที่ผู้ดำเนินรายการพูดว่า น้ำลายอาจทำลายอนาคตและชื่อเสียงของคนได้ นั้น น่าจะกล่าวให้ครอบคลุมกว่านั้นว่า กิริยามารยาทอาจทำลายอนาคตและชื่อเสียงของคนได้

ข้อคิดข้างต้นไม่จำกัดเฉพาะผู้ดำเนินรายการผู้นี้เท่านั้น แต่รวมถึงสื่อและผู้ดำเนินรายการจำนวนมากที่ปัจจุบันนำเสนอภาพทำนองนี้อย่างจงใจจนเกิดคำถามว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ และกำลังเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย

ขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดของผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ช่องหนึ่งนานมาแล้วว่า คนสมัยนี้เขาไม่อ่านหนังสือสมบัติผู้ดีกันแล้วหรือ?

......