Thursday, September 22, 2022

มือที่มองไม่เห็น (Invisible Hand)


               เราปลูกกล้วยต้นหนึ่ง กำลังโต แต่แล้วก้านกล้วยก็ทะยอยถูกหักอย่างต่อเนื่องในยามวิกาล ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงตอนนี้ (๑๙ กันยายน ๒๕๖๕) นับได้ ๑๐ ก้านแล้ว (มีใบหนึ่งโดนหักสองครั้ง)

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ - ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ เป็นก้านที่ถูกหักก้านที่ ๓  ส่วนที่ลูกศรสีฟ้าชี้ถูกดึงอ้าออกไปทั้งกาบเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าที่ก้านลูกศรสีแดงชี้จะถูกหัก และยังมีอีกก้านที่ถูกดึงอ้าทั้งกาบแต่เราตัดออกไปแล้ว (ไม่มีในภาพ) – ถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านกล้วยถูกหักไปแล้ว ๓ ก้าน

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๔ – ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๔

ก้านที่ลูกศรสีเขียวกับสีฟ้าชี้เป็นก้านที่ถูกหักก้านที่ ๒ และ ๓

 

 


ก้านที่ลูกศรชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๑๙ – ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๕

 


ก้านที่ลูกศรสีแดงชี้ถูกหักกลางคืนของวันที่ ๒๗ – ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ – ถูกหักเป็นก้านที่ ๖

ก้านที่ลูกศรสีฟ้าชี้คือก้านที่ถูกหักก้านที่ ๕

 


วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ เราพยายามซ่อมก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ โดยเอาเชือกฟางมาผูกดึงไว้ รู้ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ยังไม่อยากตัด กะว่ามันเหี่ยวแล้วค่อยตัด แต่คงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็น

 




กลางคืนของวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านที่เราซ่อมไว้ถูกหัก – ก้านนี้ถูกหักสองครั้ง

 


วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เราตัดก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ ออก (ตรงที่ลูกศรสีส้มชี้) ก็คงจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็นอีก เพราะมันดูดีเกินไป ขัดกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เราเสียความรู้สึกมากๆ

 


ทันทีที่เราตัดก้านที่ถูกหักก้านที่ ๖ ออก กลางคืนของวันที่ ๒๙ – ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก็ถูกหักอีกเป็นก้านที่ ๗ (ลูกศรสีแดง) เราเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ตัดออก เผื่อจะพอใจจะได้หยุดหัก......แต่ไม่ได้ผล

 


เว้นช่วงมาได้หนึ่งสัปดาห์ กลางคืนวันที่ ๕ – ๖ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก้านที่ ๘ ก็ถูกหัก (ก้านที่ถูกหักก้านที่ ๗ ยังห้อยคาอยู่ที่ต้น)

 


ลูกศรแดงคือก้านที่ ๘ ที่ถูกหัก ลูกศรฟ้าคือก้านที่ ๗ ที่ถูกหัก ห่างกันหนึ่งสัปดาห์

 


ครั้งนี้เว้นช่วงนานหน่อย ๑๑ วัน กลางคืนวันที่ ๑๖ – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านที่ ๙ ถูกหัก(ลูกศรสีแดง)  ส่วนลูกศรฟ้าคือก้านที่ ๘ ที่ถูกหักเมื่อคืนวันที่ ๕ – ๖ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านที่ ๗ ที่ถูกหักก่อนหน้านั้นก็ยังคาอยู่ที่ต้น

               เราไม่ตัดก้านที่ ๗ -๘ ที่ถูกหักออกเผื่อว่าจะไม่มาหักเพิ่มเพราะปกติถ้าเราตัดก้านที่ถูกหัก ไม่นาน (๑ – ๒ วัน) ก้านต่อไปก็จะถูกหักอีกเพราะพวกนั้นต้องการกดดันให้เราเสียความรู้สึกมากๆ ถ้าเราทำให้ต้นกล้วยดูดี ก็จะขัดกับความประสงค์ของพวกนั้น  ซึ่งวิธีนี้ก็ดูจะได้ผลในช่วงแรก ยืดอายุไปได้ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดกลายเป็นว่าพวกนั้นทนไม่ได้ที่เราทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องหักก้านกล้วยอีกเพื่อเพิ่มระดับการกดดัน

 


วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕ มีก้านกล้วยถูกหักห้อยคาต้นอยู่ ๓ ก้านซึ่งไม่น่าดู เราเลยตัดสินใจตัดออกทั้งสามก้าน คือก้านที่ ๗, ๘ และ ๙  (ตรงลูกศรสีส้มด้านซ้ายคือก้านที่ ๙ ส่วนก้านที่ ๗ และ ๘ อยู่ใกล้กันด้านขวา) ก็คงจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของมือที่มองไม่เห็นอีกเช่นเคย

 


เว้นไปแค่สองวัน คืนวันที่ ๑๘ – ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕ ก้านกล้วยก็ถูกหักอีกเป็นก้านที่ ๑๐

 


ก้านที่ ๑๐ ที่ถูกหักถ่ายจากอีกมุมหนึ่ง

               อันที่จริงการหักกิ่งไม้ในบ้านเราเกิดขึ้นต่อเนื่องนานแล้ว โดยเฉพาะต้นไม้ที่เราใส่ใจเป็นพิเศษจะตกเป็นเป้าการทำลายลำดับต้นๆของมือที่มองไม่เห็น คงหวังกดดันความรู้สึกของเราให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นการบีบบังคับข่มขู่ไปในตัว ไม่เพียงแต่การหักกิ่งไม้แต่ยังมีวิธีการอื่นๆอีก เช่นทำให้ต้นไม้ค่อยๆเฉาตาย หรือไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต พอจะฟื้นก็จะถูกทำให้โทรมอีก

               ทำไมถึงกล้าทำกันขนาดนี้ ไฟก็สว่าง คำตอบคือ การดำเนินชีวิตของเราทุกอย่างในบ้านอยู่ในสายตา(และหู) ของเครือข่ายที่กดดันเราอยู่แบบออนไลน์เรียลไทม์ คนลงมือจึงรู้เวลาที่ปลอดโปร่งและลงมือได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้หากมีอะไรผิดพลาดก็จะมีการปกป้องกันอย่างเป็นขบวนการ ทำให้คนในเครือข่ายสบายใจคลายความกังวลที่จะทำอกุศลกรรมเมื่อได้รับใบสั่ง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญสำหรับคนที่ตกเป็นเป้าหมายของการกดดันรังควาญจึงเป็นเพียงตัวอักษรในกระดาษเท่านั้น

               พวกเขาบีบบังคับกดดันเราทำไม กรณีของเราพวกเขาบีบบังคับกดดันเพื่อวัตถุประสงค์สองประการ คือ ประการแรกเพื่อให้เราออกไปจากที่นี่ด้วยการขายบ้านในราคาถูกๆให้กับพวกพ้องของพวกเขานำไปพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่บีบให้เราขายถูกเพราะไม่ต้องการให้เป้าหมายมีเงินมาก เป็นการตัดกำลังเป้าหมายในทุกทาง ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะได้ของถูกแต่ดีไปทำกำไรต่อมหาศาลซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ความมั่งคั่งวนเวียนอยู่ในแวดวงของคนในเครือข่าย

               วัตถุประสงค์ประการที่สองที่พวกเขาไม่พูดตรงๆแต่ใช้วิธีกดดันพร้อมกับสื่อสารเป็นนัยๆด้วย “เวลา” (เป็นหลัก) ควบคู่ไปกับการกดดัน เช่น เวลาที่เกิดกลิ่นแก๊ส เวลาที่เกิดเหตุการณ์ก่อกวนต่างๆรอบๆบ้าน เป็นต้น เป็นวัตถุประสงค์เพื่อให้เราทำบางอย่างตามที่พวกเขาต้องการ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องของความรู้สึกและเสรีภาพส่วนบุคคล จะบังคับกันไม่ได้ ตราบเท่าที่คนเคารพกฎหมาย ก็ต้องถือว่าผู้นั้นเป็นพลเมืองดีและสิทธิเสรีภาพของเขาควรได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อพวกเขาจะเอาให้ได้ แต่จะพูดก็ไม่ได้(เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พวกตนทำเป็นเรื่องเลวร้ายและผิดกฎหมาย) จึงใช้วิธีการบีบบังคับกดดันให้เป้าหมายทำตามที่ต้องการในแบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ทำนองว่าเป้าหมายทำเอง พวกเขาไม่ได้บังคับนะ  

               เรารู้ว่าพวกคุณอ่านบทความของเรา เราขอบอกตรงนี้เลยว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องนั้น เราไม่ได้เป็นภัยคุกคามเรื่องนั้น และเราเคารพกฎหมาย รัฐธรรมนูญว่าไว้อย่างไรเราก็เคารพตามนั้น เพราะฉะนั้น พวกคุณควรจะพอใจและสบายใจได้ อย่าถึงกับบีบบังคับจะเอาให้ได้อย่างใจนอกเหนือรัฐธรรมนูญเลย มันนานหลายสิบปีแล้ว อายุเราก็ใกล้เจ็ดสิบแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี (ก็จากแก๊สสารพัดของพวกคุณนั่นแหละ) จะอยู่ได้อีกสักกี่ปี มันจะตอกย้ำว่าเป็นเครือข่ายที่โหดเหี้ยมนะ ที่สำคัญการบีบบังคับคนในเรื่องนี้ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน ถ้าคนถูกบีบบังคับจนต้อง “ยอม” ใจเขาจะไม่ “ยอมรับ” และจะหาความจริงใจจากคนที่ต้องยอมเพราะถูกบีบบังคับไม่ได้ ฉะนั้นผลที่ได้จากการบีบบังคับจึงไม่ยั่งยืน คนที่บีบบังคับเองก็จะกังวลใจไปตลอดเพราะตระหนักดีว่าเขายอมเพราะถูกบีบบังคับ ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจหรือเต็มใจ และที่ยิ่งไปกว่านั้นการบีบบังคับอาจทำให้คนที่เดิมไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนความคิด ดังนั้น การบีบบังคับจึงเป็นมาตรการที่จะส่งผลเสียโดยตรงไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งพวกคุณก็น่าจะเข้าใจดีโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก  ถ้าพวกคุณรักจริง ก็ต้องรักให้ถูกวิธี ใช้วิธีที่ทำให้คนอื่นรัก ไม่เช่นนั้นก็อาจถูกสงสัยว่าเป็นกรณีทำเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย   เราเชื่อว่าการเคารพกฎหมายจะทำให้สังคมอยู่ได้อย่างสุขสงบ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ เราอยู่ได้ พวกคุณก็อยู่ได้ ไม่มีใครละเมิดใคร อยู่อย่างเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ? หากยังไม่สบายใจหรืออยากจะเรียกร้องอะไรจากเราก็ควรกระทำอย่างเปิดเผย ใช้วิธีพูดกับเราตรงๆดีกว่า เรายินดีที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกคนที่ใช้เหตุผล แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะแสดงตัวจริงๆ จะใช้คนที่พวกคุณและเราคุ้นเคยเป็นตัวแทนก็ได้   

               เราได้พูดอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุดเท่าที่พอจะพูดออกไปได้แล้ว เราไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนวิธีการบีบบังคับของพวกคุณซึ่งเป็นวิธีการที่ทำร้ายสังคม หากการบีบบังคับกดดันยังคงดำเนินต่อไป คงต้องสรุปว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกคุณคือการทำลายเรา(ขณะเดียวกันก็ช่วยพวกพ้องปล้นที่เรา)โดยอ้างเรื่องนั้น  และหากเป็นเช่นนี้ การขายบ้านออกไปจากที่นี่แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นก็จะไม่ทำให้เรื่องมันจบ ยิ่งกว่านั้นการย้ายจากที่ๆอยู่มานานถึงหกสิบห้าปี จนมีรากฐานและสภาพแวดล้อมที่มั่นคงสะดวกสบาย ทั้งสน. สำนักงานเขต โรงพยาบาล ช้อปปิ้งมอลล์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง ธนาคารหลายแห่ง ร้านอาหารหลากหลาย ผับบาร์ ตลอดจนเซเว่นหัวซอยท้ายซอย ล้วนอยู่ในระยะที่เดินเท้าได้ แล้วย้ายไปเป็นคนมาใหม่ในที่อื่นที่ไม่มีวันจะเจริญมั่นคงสะดวกสบายเท่าที่เดิม กลับจะเป็นช่องทางให้เราถูกบีบบังคับกดดันได้ง่ายยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตได้ยากลำบากยิ่งขึ้น กระทั่งถูกทำลายจริงๆได้สะดวกยิ่งขึ้น


ถ้าคนหนึ่งพูดว่า “หากคุณไม่เป็นพวกเรา เราจะถือว่าคุณต่อต้านเรา”

ส่วนอีกคนพูดว่า “ถ้าคุณไม่ต่อต้านเรา เราจะถือว่าคุณเป็นมิตร”   คุณอยากจะคบกับคนไหน ?


บทความอ่านประกอบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

“เลือดเป็นกรด” “โจรผู้ดี” “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (ปลอม)”