เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. 256... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)
ซึ่งรัฐบาลจะนำมาใช้แทน พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508
และ พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 นั้น เราไม่เห็นด้วยในหลายประการ
แต่ในที่นี้จะพูดถึงการจัดเก็บภาษีส่วนที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัยเพราะเป็นส่วนที่กระทบต่อหนึ่งในปัจจัยสี่ของทุกคน
ร่าง พ.ร.บ.
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้จะใช้มูลค่าทรัพย์สิน(ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)เป็นฐานในการคำนวณภาษี
(ภาษีบำรุงท้องที่ใช้เนื้อที่ดินเป็นฐานในการคำนวณภาษี ส่วนภาษีโรงเรือนใช้ค่าเช่าเป็นฐานในการคำนวณภาษี) โดยในส่วนของบ้านที่อยู่อาศัยหลัก(บ้านหลังแรก)
กฎหมายฉบับนี้กำหนดข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกินยี่สิบล้านบาทหรือห้าสิบล้านบาท
(ข้อมูลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยังไม่ได้ข้อยุติแน่นอนว่าจะเป็นกี่ล้าน) เราไม่ทราบว่าตัวเลขยี่สิบล้านบาทหรือห้าสิบล้านบาทนี้
มีที่มาอย่างไร ทำไมจึงเป็นตัวเลขนี้ ซึ่งเดิมตาม พ.ร.บ.
ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 บ้านที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครในท้องที่ที่มีชุมชนหนาแน่นมาก
ให้ลดหย่อนได้ไม่เกินหนึ่งร้อยตารางวา แต่จะน้อยกว่าห้าสิบตารางวาไม่ได้ ซึ่งพอเหมาะพอควรในการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวทั่วไปที่อย่างน้อยบ้านก็ควรมีขนาดราว
50 – 100 ตารางวา กฎหมายจึงลดหย่อนให้ประชาชนไม่ต้องรับภาระภาษีมากเกินไป
การลดหย่อนดังกล่าวจึงเป็นความเอื้ออาทรที่ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา
แต่ร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้
จะจัดเก็บภาษีจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การลดหย่อนก็คิดเป็นจำนวนเงินจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ซึ่งเราเห็นว่าไม่เป็นธรรมเพราะมนุษย์(หรือแม้แต่สัตว์)เมื่อคิดถีงเรื่องที่อยู่อาศัยก็ย่อมต้องคิดเป็นเนื้อที่ว่าคนๆหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่งโดยทั่วไปควรมีที่อยู่อาศัยเป็นเนื้อที่เท่าใด
ไม่ใช่คิดว่าคนๆหนึ่งควรมีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นมูลค่าเท่าใด และเนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่
ประชาชนจึงควรได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเนี้อที่จำนวนหนึ่งดังเช่นที่กล่าวไปข้างต้น แต่เมื่อเปลี่ยนมาคิดภาษีจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
คนที่มีบ้านร้อยตารางวาใจกลางเมืองซึ่งอาจไม่ได้ร่ำรวยแต่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษหรืออยู่มาหลายสิบปีจนที่ดินมีมูลค่าสูงกลับต้องเสียภาษีจำนวนมากทั้งที่ตามกฎหมายเดิมได้รับการยกเว้น
ส่วนอีกคนมีบ้านขนาดร้อยตารางวาเหมือนกันแต่อยู่ไกลออกไปอาจไม่ต้องเสียภาษีเลย แบบนี้จะเป็นธรรมได้อย่างไร ถ้าไม่จ่ายก็มีความผิดทางอาญาอาจมีโทษถึงจำคุก ผลสุดท้ายก็ต้องขายทิ้งที่ดิน
พวกนายทุนใหญ่ก็แค่นอนรอรับโอกาสทองนี้แบบสบายๆ ยิ่งในระยะยาว
ที่ดินจะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆที่ดินที่เคยได้รับการยกเว้นก็จะไม่ได้รับการยกเว้น
ทำให้ปรากฏการณ์ขายทิ้งที่ดินเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ตรากฎหมายฉบับนี้น่าจะทราบถึงผลที่จะตามมา
จึงสงสัยว่าอะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกฎหมายฉบับนี้ ???
พวกธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่ใช้ที่อยู่อาศัยของตนเองใจกลางเมืองเป็นสถานประกอบการก็จะประสบเคราะห์กรรมทำนองเดียวกันกับเจ้าของบ้านพักอาศัยที่อยู่ใจกลางเมือง
คือหลายรายต้องล้มหายตายจากไปเพราะไม่อาจแบกรับภาระภาษีใหม่ได้
ผลกระทบที่จะตามมา
การเก็บภาษีที่ดินในส่วนของที่อยู่อาศัยตามกฎหมายใหม่
เชื่อว่าจะกระทบต่อชนชั้นกลางซึ่งรวมถึงชนชั้นกลางที่เพิ่งจะเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้ด้วยความมานะอดทนตลอดจนจะเป็นการปิดกั้นโอกาสที่คนจะขยับสถานภาพจากชนชั้นล่างขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง
เพราะคนที่มีบ้านอยู่ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าสูงอาจไม่ได้เป็นคนรวย
เป็นเพียงชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง หรือแม้แต่บ้านบางหลังที่ได้รับการยกเว้นในช่วงแรกในอนาคตก็จะไม่ได้รับการยกเว้นเพราะมูลค่าที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นตามกาลเวลาและอัตราเงินเฟ้อ เมื่อไม่อาจแบกรับภาระภาษีนี้ได้ก็ต้องขายบ้านทิ้งออกไปอยู่ไกลๆหรือเปลี่ยนไปอยู่คอนโด
ส่วนคนที่เดิมพอจะขยับขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางได้ก็ต้องดิ้นรนมากขึ้นและอาจต้องคงสถานะเดิมต่อไป
กฎหมายภาษีที่ดินใหม่นี้จึงส่งผลให้ในที่สุดชนชั้นกลางในสังคมของเราจะค่อยๆหดตัวลงจนเหลือแต่ชนชั้นบนกับชนชั้นล่างเป็นหลัก
มีแต่คนที่รวยมากๆกลุ่มหนึ่งกับคนจำนวนมากที่ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวเหมือนหนูถีบจักรและมีแค่ห้องแคบๆเป็นที่ซุกตัว
อืม ! เขาอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้จะลดความเหลื่อมล้ำ !!!
การที่ชนชั้นกลางหดตัวลงจะถึอเป็นเป้าประสงค์ของการลดความเหลื่อมล้ำได้หรือ
??? เราเกรงว่ามันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเสียมากกว่า !!!
เพื่อกระจายการถือครองที่ดินจริงหรือ
??? อีกเป้าหมายหนึ่งที่ผู้ออกกฎหมายฉบับนี้อ้างก็คือการกระจายการถือครองที่ดิน
ซี่งเราเห็นว่าหากต้องการเช่นนั้นทำไมไม่ออกกฎหมายเรื่องที่รกร้างโดยเฉพาะไปเลย เพื่อให้มีการนำที่ดินรกร้างจริงๆมาใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ไม่ใช่พ่วงบ้านที่อยู่อาศัยเข้าไปด้วย และยังมีอีกหลายวิธีที่รัฐจะสามารถรวบรวมที่ดินที่ถูกฉ้อฉลไปกลับมาให้พี่น้องเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ทำกินกัน
อยู่ที่ว่ารัฐจะทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น
บ้านเป็นปัจจัยที่มีราคาแพงมาก
หลายคนใช้เวลาค่อนชีวิตกว่าจะผ่อนบ้านหลังแรกและหลังเดียวได้หมด มูลค่าที่ดินบ้านพักอาศัยของเราที่สะสมสูงขึ้นตามกาลเวลานั้น
แทนที่จะเป็นรางวัลชีวิตที่สามารถส่งมอบให้ลูกหลานต่อยอดได้ รวมทั้งความรักความผูกพัน
ความภาคภูมิใจกับบ้านของตนเองซึ่งจะส่งผลถึงความรักประเทศชาติบ้านเกิดของเราด้วยนั้น
กลับจะต้องถูกภาษีนี้บีบคั้นให้ต้องขายทิ้งไปอย่างไม่เป็นธรรมอย่างนั้นหรือ
สำหรับการวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้โดยละเอียดเราอยากให้อ่านบทความเรื่อง
“ผลกระทบจาก พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร
สุขศรีวงศ์ ตามลิงค์ข้างล่าง ซึ่งจะให้ภาพที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน