เช้าวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2548 เวลาประมาณ 8.10 น. ภรรยาผมกำลังจะออกไปซื้อของนอกบ้าน พบขวดน้ำดื่มพลาสติก ขนาด 1.5 ลิตร ในถุงพลาสติกของห้างแห่งหนึ่ง ติดอยู่ที่เหล็กดัดเหนือกำแพงรั้วด้านริมคลอง ที่ด้านนอกของตัวขวดมีสำลีก้อนเล็กๆแบบที่บรรจุในถุงพลาสติกขายตามห้าง หลายก้อนพันด้วยเทปใสติดอยู่โดยรอบ ที่ปากขวดมีสำลีทำเป็นเส้นยาวประมาณ 5 – 6 นิ้ว ห้อยติดอยู่โดยใช้เทปใสพันไว้ ในขวดมีน้ำใสสีชาบรรจุอยู่ น้ำดังกล่าวกำลังซึมผ่านจุกมายังสำลีที่ปากขวดจนชุ่มแล้วหยดลงบนสันกำแพงรั้ว กลิ่นของน้ำที่หยดลงมาบ่งบอกว่าเป็นสารจำพวกไวไฟ เมื่อเอาทั้งขวดและถุงพลาสติกลงมาดู พบว่าในถุงพลาสติกยังมีน้ำมันไฟแช็กอีก 1 กระป๋อง สำลีที่ปากขวดมีร่องรอยการเผาไหม้ และยังพบร่องรอยการเผาไหม้ที่ถุงพลาสติกอีกด้วย
จากสภาพการณ์ที่พบเห็น เชื่อว่าคนทำต้องการให้เข้าใจว่ามีคนขว้างระเบิดเพลิงเข้ามาในบ้านของเรา และบังเอิญระเบิดเพลิงลูกนี้ไปติดอยู่ที่เหล็กดัดและไฟชนวน (สำลีที่ปากขวด) เกิดดับเสียก่อน แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วพบว่า ผู้ที่ลงมือไม่ได้ต้องการให้เกิดเพลิงไหม้จริงๆ เพราะสำลีก้อนที่ปากขวดมีรอยไหม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการจุดไฟแล้วรีบดับ ส่วนสำลีเส้นยาวที่ทำให้ดูเป็นชนวนกลับไม่มีรอยไหม้เลย และกระป๋องน้ำมันไฟแช็กที่ติดมากับถุงพลาสติกก็เพื่อบอกให้รู้ชัดๆว่าน้ำใสๆอมสีชาที่เห็นในขวดนั้นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง จึงเชื่อว่าการกระทำครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อข่มขู่ให้หวาดกลัวเท่านั้น แต่อะไรคือเป้าหมาย ?
มันก็เรื่องเดิมนั่นแหละ กดดันให้ออกไปจากที่นี่ (และประเทศนี้) เพียงแต่มีเงื่อนไขบางอย่างที่เร่งให้ต้องข่มขู่แบบเข้มข้นมากขึ้น สิ่งนั้นคือ ปัญหาการรังวัดสอบเขตที่ดินที่กำลังนำไปสู่ข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่และเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งจะส่งผลกระทบถึงอำนาจมืด
ปัญหานี้เกิดจากการที่ภรรยาผมยื่นขอรังวัดสอบเขตที่ดินและผลปรากฏว่าพื้นที่ครอบครองที่รังวัดได้ไม่ตรงกับที่ระบุในโฉนด ได้เนื้อที่น้อยลง ภรรยาผมขอให้เจ้าหน้าที่สอบสวนปัญหาความคลาดเคลื่อนนี้ตั้งแต่มกราคม 2548 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า เจ้าหน้าที่ยกประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นอ้างในการไม่สอบสวนตามคำร้องเรียนของภรรยาผม และประวิงเวลาไปเรื่อยๆ อันที่จริงเรื่องนี้ชัดเจนมาก เจ้าหน้าที่ควรดำเนินการสอบสวนเองโดยไม่ต้องรอให้มีการร้องขอด้วยซ้ำไป เจ้าหน้าที่เองควรจะสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หลักฐานในโฉนดอย่างหนึ่ง ข้อเท็จจริงจากการรังวัดเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่สงสัยกันบ้างหรือ เรื่องแบบนี้พูดไปใครฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ! บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ อำนาจนอกระบบของอำนาจมืดยังคงครอบงำสังคมไทย ไม่รู้ว่าการปฏิรูประบบราชการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้แค่ไหนและจะต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด
Friday, July 22, 2005
Tuesday, June 21, 2005
จาก 14 ตุลาฯ ถึง ปัจจุบัน จิตสำนึกเผด็จการยังไม่จางหาย
กล่าวกันว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้เรามีประชาธิปไตย เราขับไล่เผด็จการทหาร คนกลุ่มหนึ่งถูกเรียกว่าทรราช 32 ปีผ่านไป ผมพบว่าจิตสำนึกเผด็จการยังคงวนเวียนอยู่กับคนไทยจำนวนมาก ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญ คนเหล่านั้นเป็น พลเรือน หรือว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เป็นแค่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ?
ดูกรณีรับน้องใหม่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆจำนวนมาก รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหลายแห่งจัดพิธีรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงหรือไม่ก็บังคับให้กระทำการอย่างวิตถาร เช่น บังคับน้องใหม่ชายให้เปลื้องผ้าแล้วลากไปตามพื้นคอนกรีต ให้เปลื้องผ้าคลานลุยไปตามโคลน รับน้องแบบมาราธอนหลายวันหลายคืนจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนมาก บังคับให้น้องใหม่กินน้ำกะปิ ให้น้องใหม่ชายสำเร็จความใคร่ ให้น้องใหม่หญิงแสดงท่าในลักษณะร่วมเพศกับน้องใหม่ชาย ให้น้องใหม่หญิงเต้นรูดเสาแบบผู้หญิงตามบาร์แล้วให้น้องใหม่ชายทำตัวเป็นเสา ตลอดจนบังคับกดดันด้วยข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามใช้มือถือ ฯลฯ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและในคณะที่นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดแบบนั้น และหลายๆแห่งผู้ร้องเรียนยืนยันว่ามีอาจารย์รับรู้เรื่องเหล่านั้น และทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วประเทศ ได้มีการดำเนินการสอบสวนในหลายสถาบัน แต่กลับมีบางสถาบันที่รุ่นพี่ยังคงรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป
ผมมองว่านี่คือผลพวงของจิตสำนึกแบบเผด็จการ ความต้องการที่จะมีอำนาจและแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นด้วยการบีบบังคับให้ยอมตาม มันอาจเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์ และเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งไม่พัฒนาจิตใจ ความเป็นเผด็จการก็จะปรากฏออกมาในรูปแบบต่างๆ
นอกจากเรื่องรับน้องใหม่ข้างต้นแล้ว ผมยังเห็นถึงภาพสะท้อนทัศนะคติของคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ (คิดว่า) เปลี่ยนแปลงไป คงจำโฆษณาทางโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกันได้ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งถามนักศึกษาสาวว่าทำนี่ได้ไหม ทำนั่นได้ไหม และจบลงที่คำถาม “ชงกาแฟได้ไหม ?” ความจริงใครจะชงกาแฟให้ใครเพราะชอบพอนับถือเป็นส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ถ้าพูดกันเหมือนกับว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการจะรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานแล้ว มันจะมากไปหรือเปล่า ในทางปฏิบัติ ที่ทำงานบางแห่งอาจมีวัฒนธรรมการใช้พนักงานใหม่หรือลูกน้องชงกาแฟให้ก็เป็นได้ (ผมไม่ได้หมายถึงการให้เลขาหรือแม่บ้านชงให้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ) แต่เมื่อนำมาทำเป็นโฆษณาที่มีคนดูนับล้านแบบนี้ ทำให้สงสัยว่านี่เป็นมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยไปแล้วหรือ ?
การเคารพและให้เกียรติผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในสังคมทุกวันนี้เหลืออยู่สักเพียงใด ? หรือเหลือแต่สังคมพวกพ้องและผลประโยชน์ จนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว กระบวนการคัดสรรคนเข้ากลุ่มด้วยวิธีการต่างๆในสังคมไทยปัจจุบันดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไม่มีพวกพ้องก็อยู่ลำบาก จะเข้าเป็นพวกพ้องก็มักต้องผ่านเงื่อนไขที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ระดับหนึ่งก่อน ถ้าอยากเป็นคนดีของสังคม (ของพวกเขา) เขาบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกบีบให้อยู่ในสังคมนั้นไม่ได้
จิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ความรุนแรงและบีบบังคับผู้อื่นให้ทำตามความพอใจของตน ไม่ได้แตกต่างจากจิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นเก่าหรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่หลายๆคนแต่อย่างใด และยิ่งไม่ต่างจากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเผด็จการในอดีต มันเป็นความคิดชุดเดียวกัน จิตสำนึกแบบนี้หรือเปล่าที่เอื้ออำนวยให้อำนาจมืดมีเครือข่ายครอบงำสังคมไทยทุกระดับทุกวงการอย่างทุกวันนี้
ดูกรณีรับน้องใหม่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆจำนวนมาก รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหลายแห่งจัดพิธีรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงหรือไม่ก็บังคับให้กระทำการอย่างวิตถาร เช่น บังคับน้องใหม่ชายให้เปลื้องผ้าแล้วลากไปตามพื้นคอนกรีต ให้เปลื้องผ้าคลานลุยไปตามโคลน รับน้องแบบมาราธอนหลายวันหลายคืนจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนมาก บังคับให้น้องใหม่กินน้ำกะปิ ให้น้องใหม่ชายสำเร็จความใคร่ ให้น้องใหม่หญิงแสดงท่าในลักษณะร่วมเพศกับน้องใหม่ชาย ให้น้องใหม่หญิงเต้นรูดเสาแบบผู้หญิงตามบาร์แล้วให้น้องใหม่ชายทำตัวเป็นเสา ตลอดจนบังคับกดดันด้วยข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามใช้มือถือ ฯลฯ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและในคณะที่นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดแบบนั้น และหลายๆแห่งผู้ร้องเรียนยืนยันว่ามีอาจารย์รับรู้เรื่องเหล่านั้น และทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วประเทศ ได้มีการดำเนินการสอบสวนในหลายสถาบัน แต่กลับมีบางสถาบันที่รุ่นพี่ยังคงรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป
ผมมองว่านี่คือผลพวงของจิตสำนึกแบบเผด็จการ ความต้องการที่จะมีอำนาจและแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นด้วยการบีบบังคับให้ยอมตาม มันอาจเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์ และเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งไม่พัฒนาจิตใจ ความเป็นเผด็จการก็จะปรากฏออกมาในรูปแบบต่างๆ
นอกจากเรื่องรับน้องใหม่ข้างต้นแล้ว ผมยังเห็นถึงภาพสะท้อนทัศนะคติของคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ (คิดว่า) เปลี่ยนแปลงไป คงจำโฆษณาทางโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกันได้ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งถามนักศึกษาสาวว่าทำนี่ได้ไหม ทำนั่นได้ไหม และจบลงที่คำถาม “ชงกาแฟได้ไหม ?” ความจริงใครจะชงกาแฟให้ใครเพราะชอบพอนับถือเป็นส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ถ้าพูดกันเหมือนกับว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการจะรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานแล้ว มันจะมากไปหรือเปล่า ในทางปฏิบัติ ที่ทำงานบางแห่งอาจมีวัฒนธรรมการใช้พนักงานใหม่หรือลูกน้องชงกาแฟให้ก็เป็นได้ (ผมไม่ได้หมายถึงการให้เลขาหรือแม่บ้านชงให้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ) แต่เมื่อนำมาทำเป็นโฆษณาที่มีคนดูนับล้านแบบนี้ ทำให้สงสัยว่านี่เป็นมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยไปแล้วหรือ ?
การเคารพและให้เกียรติผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในสังคมทุกวันนี้เหลืออยู่สักเพียงใด ? หรือเหลือแต่สังคมพวกพ้องและผลประโยชน์ จนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว กระบวนการคัดสรรคนเข้ากลุ่มด้วยวิธีการต่างๆในสังคมไทยปัจจุบันดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไม่มีพวกพ้องก็อยู่ลำบาก จะเข้าเป็นพวกพ้องก็มักต้องผ่านเงื่อนไขที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ระดับหนึ่งก่อน ถ้าอยากเป็นคนดีของสังคม (ของพวกเขา) เขาบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกบีบให้อยู่ในสังคมนั้นไม่ได้
จิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ความรุนแรงและบีบบังคับผู้อื่นให้ทำตามความพอใจของตน ไม่ได้แตกต่างจากจิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นเก่าหรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่หลายๆคนแต่อย่างใด และยิ่งไม่ต่างจากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเผด็จการในอดีต มันเป็นความคิดชุดเดียวกัน จิตสำนึกแบบนี้หรือเปล่าที่เอื้ออำนวยให้อำนาจมืดมีเครือข่ายครอบงำสังคมไทยทุกระดับทุกวงการอย่างทุกวันนี้
Labels:
เผด็จการยุคโลกาภิวัฒน์
Tuesday, June 07, 2005
กฎของสังคม... เครื่องมือของอำนาจมืด !
กฎของสังคม กฎของสังคม กฎของสังคม
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ!
มันคืออะไรกันแน่ รูปธรรมที่ชัดเจนเป็นอย่างไร ใครบัญญัติไว้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าบ้านเมืองเราไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อมีแปกันแล้ว ?
มันคือมาตรการเสริมเพื่อให้สังคมดีขึ้น ?
มันคือกฎหมู่ กฎพวกมากลากไป ?
มันคือศาลเตี้ย ?
มันคือช่องทางจัดการพวกหัวแข็ง ?
มันคือมาตรการที่ใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม ?
มันคือกฎที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และอิสระภาพของปัจเจกบุคคล ?
มันคือข้ออ้างในการใช้อำนาจนอกระบบของคนที่ต้องการจะควบคุมสังคม ?
มันคือคำสวยหรู ที่ใช้อ้างความชอบธรรมในการกดหัวและทำลายคนอื่น ?
มันคือเครื่องมือปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้อง ?
มันคือเครื่องมือของอำนาจมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ ?
มันคืออะไร ?
ในทางปฏิบัติ
คำคำนี้ถูกนำมาใช้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการล่วงละเมิดผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถใช้อ้างทำลายผู้อื่นอย่างเป็นระบบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิอยู่เหนือกฎหมาย ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการรมสารพิษสารพัดชนิด ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิก่อกวนกลั่นแกล้งผู้อื่นทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้มีชีวิตที่สุขสงบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลเพื่อสร้างสถานการณ์ข่มขู่ให้หวาดกลัว ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิใส่ร้ายป้ายสีทำลายความน่าเชื่อถือของผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิในการจัดการกับคนที่ไม่ก้มหัวให้กับพวกตน ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นอย่างไร้คุณธรรม ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นโดยไม่ต้องสนใจกฎหมายบ้านเมือง ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำเลวร้ายต่อผู้อื่นอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้แยบยล แนบเนียน พูดไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ ?
มันหัวแข็ง มันรู้ทัน มันไม่ยอมก้มหัวให้ กลัวว่ามันจะเป็นตัวแพร่เชื้อหัวแข็ง กลัวว่ามันจะทำให้ กระบวนการควบคุมสังคมซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของพวกตน ต้องสั่นคลอน จึงต้องหาทางทำลายมัน !
คนจำนวนมาก เพื่อเอาตัวรอด ทำตัวกลืนไปกับคำคำนี้ ป้ายสีกันมาอย่างไรก็ขานรับกันไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หลายคนรู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น กลับไม่สนใจ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ซึ่งเท่ากับเอื้ออำนวยให้ระบบนี้เบ่งบาน
หมายเหตุ
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ!
มันคืออะไรกันแน่ รูปธรรมที่ชัดเจนเป็นอย่างไร ใครบัญญัติไว้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าบ้านเมืองเราไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อมีแปกันแล้ว ?
มันคือมาตรการเสริมเพื่อให้สังคมดีขึ้น ?
มันคือกฎหมู่ กฎพวกมากลากไป ?
มันคือศาลเตี้ย ?
มันคือช่องทางจัดการพวกหัวแข็ง ?
มันคือมาตรการที่ใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม ?
มันคือกฎที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และอิสระภาพของปัจเจกบุคคล ?
มันคือข้ออ้างในการใช้อำนาจนอกระบบของคนที่ต้องการจะควบคุมสังคม ?
มันคือคำสวยหรู ที่ใช้อ้างความชอบธรรมในการกดหัวและทำลายคนอื่น ?
มันคือเครื่องมือปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้อง ?
มันคือเครื่องมือของอำนาจมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ ?
มันคืออะไร ?
ในทางปฏิบัติ
คำคำนี้ถูกนำมาใช้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการล่วงละเมิดผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถใช้อ้างทำลายผู้อื่นอย่างเป็นระบบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิอยู่เหนือกฎหมาย ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการรมสารพิษสารพัดชนิด ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิก่อกวนกลั่นแกล้งผู้อื่นทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้มีชีวิตที่สุขสงบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลเพื่อสร้างสถานการณ์ข่มขู่ให้หวาดกลัว ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิใส่ร้ายป้ายสีทำลายความน่าเชื่อถือของผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิในการจัดการกับคนที่ไม่ก้มหัวให้กับพวกตน ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นอย่างไร้คุณธรรม ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นโดยไม่ต้องสนใจกฎหมายบ้านเมือง ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำเลวร้ายต่อผู้อื่นอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้แยบยล แนบเนียน พูดไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ ?
มันหัวแข็ง มันรู้ทัน มันไม่ยอมก้มหัวให้ กลัวว่ามันจะเป็นตัวแพร่เชื้อหัวแข็ง กลัวว่ามันจะทำให้ กระบวนการควบคุมสังคมซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของพวกตน ต้องสั่นคลอน จึงต้องหาทางทำลายมัน !
คนจำนวนมาก เพื่อเอาตัวรอด ทำตัวกลืนไปกับคำคำนี้ ป้ายสีกันมาอย่างไรก็ขานรับกันไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หลายคนรู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น กลับไม่สนใจ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ซึ่งเท่ากับเอื้ออำนวยให้ระบบนี้เบ่งบาน
หมายเหตุ
เมื่อเร็วๆนี้ผมไปค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆ พบข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันที่ 12 เม.ย. 2542 หน้า 9 เป็นบทความเกี่ยวกับนักเขียนผู้หนึ่ง ที่คอลัมน์ขวาสุดของหน้านี้ เธอตอบคำถามที่ว่าทำไมเธอจึงไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตราชการของเธอซึ่งเป็นเรื่องที่เธอรู้ดีที่สุด โดยพูดถึงนักเขียนอีกคนหนึ่งที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับส่วนราชการของนักเขียนผู้นั้นลงในนิตยสารฟ้าเมืองไทยแล้วต้องลี้ภัยไปอยู่สวีเดน นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอันหนึ่งของการใช้อำนาจนอกระบบหรืออำนาจมืดในสังคมไทย ที่กดดันบีบบังคับคนจนต้องออกไปจากแผ่นดินเกิด รูปธรรมที่ทำให้นึกถึงคำข่มขู่ที่เครือข่ายอำนาจมืดชอบใช้ ”ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ !”
Labels:
กฎของสังคม
Saturday, March 12, 2005
เลี้ยงรุ่น !
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2548 เพื่อนที่ทำงานเก่าโทรมาชวนไปงานเลี้ยงรุ่นที่อบรมด้วยกันเมื่อ 24 ปีก่อน ประมาณบ่ายสามโมงเศษผมไปถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวสี่แยกพิชัย ตัวร้านเป็นห้องแถวหนึ่งคูหา เขาเลี้ยงกันที่ชั้นสองซึ่งเป็นห้องคาราโอเกะ ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบเพื่อนกลุ่มนี้คือในงานเลี้ยงรุ่นเมื่อ 6 ปีก่อน แต่บางคนก็ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 10 ปี ผมไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากเหล้าและเบียร์ กิจกรรมที่นั่นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าพูดคุยและร้องเพลง สำหรับผม จะฟังเป็นส่วนใหญ่ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามทุ่มกว่าแล้ว ผมรู้สึกมึนๆจึงสั่งกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย เด็กที่บริการอยู่ในห้องหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมาบอกว่า “รอสักครู่นะครับ” สักพักใหญ่ๆเด็กเอากาแฟมาเสิร์ฟ ผมดื่มไปไม่ถึงครึ่งถ้วยก็หยุด ไม่ดื่มต่อ เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ประมาณสี่ทุ่มทุกคนออกจากร้านนั้น บางคนไปต่อที่อื่น แต่ผมขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน
ผมเข้านอนประมาณห้าทุ่มเศษ ตื่นขึ้นมาตอนตีสี่กว่า ฤทธิ์แอลกอฮอล์หมดไปแล้ว แต่รู้สึกไม่สบาย หวิวๆ คลื่นไส้ ถ่ายท้อง ปวดหัว กล้ามเนื้อที่น่องมีอาการเกร็งๆคล้ายจะเป็นตะคริว นิ้วมือสั่นเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้อาเจียนซึ่งอาจเป็นเพราะตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเมื่อวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลยนอกจากเหล้าเบียร์และกาแฟ อาหารที่ผมกินเข้าไปตอนเที่ยงคงย่อยหมดแล้ว หรืออาจเป็นเพราะสารพิษที่ได้รับมีปริมาณไม่มากพอก็เป็นได้ ใช่แล้วครับ อาการดังกล่าวบ่งบอกว่าผมได้รับสารพิษ ผมพยายามดื่มน้ำสะอาดเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สารพิษในร่างกายเจือจางและช่วยขับพิษ ผมดื่มเข้าไปประมาณลิตรครึ่ง แล้วนอนพัก สองชั่วโมงต่อมาผมรู้สึกดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะยังมีอาการอยู่ และสารพิษบางอย่างส่งผลร้ายแรงตามมาในภายหลังได้ สารพิษที่ผมได้รับส่งผลต่อเนื่องมาอีกหลายวัน
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ด้วยการดูแลอย่างดีจากภรรยา ร่างกายผมค่อยๆฟื้นตัว โชคดีที่ผมดื่มกาแฟไม่ถึงครึ่งถ้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ว่า ผมประมาทเกินไป และมันตอกย้ำความเชื่อของเราว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการแค่กดดัน
(ความเป็นมา)
ผมเข้านอนประมาณห้าทุ่มเศษ ตื่นขึ้นมาตอนตีสี่กว่า ฤทธิ์แอลกอฮอล์หมดไปแล้ว แต่รู้สึกไม่สบาย หวิวๆ คลื่นไส้ ถ่ายท้อง ปวดหัว กล้ามเนื้อที่น่องมีอาการเกร็งๆคล้ายจะเป็นตะคริว นิ้วมือสั่นเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้อาเจียนซึ่งอาจเป็นเพราะตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเมื่อวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลยนอกจากเหล้าเบียร์และกาแฟ อาหารที่ผมกินเข้าไปตอนเที่ยงคงย่อยหมดแล้ว หรืออาจเป็นเพราะสารพิษที่ได้รับมีปริมาณไม่มากพอก็เป็นได้ ใช่แล้วครับ อาการดังกล่าวบ่งบอกว่าผมได้รับสารพิษ ผมพยายามดื่มน้ำสะอาดเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สารพิษในร่างกายเจือจางและช่วยขับพิษ ผมดื่มเข้าไปประมาณลิตรครึ่ง แล้วนอนพัก สองชั่วโมงต่อมาผมรู้สึกดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะยังมีอาการอยู่ และสารพิษบางอย่างส่งผลร้ายแรงตามมาในภายหลังได้ สารพิษที่ผมได้รับส่งผลต่อเนื่องมาอีกหลายวัน
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ด้วยการดูแลอย่างดีจากภรรยา ร่างกายผมค่อยๆฟื้นตัว โชคดีที่ผมดื่มกาแฟไม่ถึงครึ่งถ้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ว่า ผมประมาทเกินไป และมันตอกย้ำความเชื่อของเราว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการแค่กดดัน
(ความเป็นมา)
Labels:
ความอำมหิต,
สารพิษ
Tuesday, March 08, 2005
แขกไม่ได้รับเชิญ
เมื่อวันพฤหัสที่ 3 มีนาคม 2548 ภรรยาผมเปิดถังปุ๋ยน้ำชีวภาพ EM เพื่อจะเอาไม้คนตามปกติ ปรากฏว่าน้ำ EM มีกลิ่นเหมือนสารเคมี สีก็เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะน้ำ EM ถังนี้หมักมาหลายเดือนจนเข้าที่แล้ว ภรรยาผมจะคนปุ๋ยน้ำนี้เกือบทุกวัน เธอรู้ดีว่าสภาพปกติของมันเป็นอย่างไร เธอยังสังเกตว่าอ่างพลาสติกที่เธอวางทับฝาถังน้ำ EM ไม่ได้อยู่ในที่ของมัน แต่วางอยู่ที่พื้น สภาพการณ์ชี้ชัดว่ามีคนลอบเข้ามาในบ้านยามวิกาลและใส่สารบางอย่างลงในถังน้ำ EM แต่อาจเป็นเพราะความรีบร้อน จึงทำให้ลืมเอาอ่างพลาสติกวางกลับที่เดิม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 1 หรือ 2 มีนาคม เพราะครั้งสุดท้ายที่ภรรยาผมคนน้ำ EM คือวันที่ 1 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอะไรผิดปกติ
การลอบเข้าบ้านยามวิกาลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกลั่นแกล้งและข่มขู่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เราย้ายมาอยู่บ้านนี้เมื่อสามปีก่อน (ดูการข่มขู่ให้กลัว) เราพบก้นกรองบุหรี่อยู่ที่พื้นดินระหว่างตัวบ้านกับต้นไม้ที่ปลูกตามแนวรั้วด้านหนึ่งเป็นประจำ เราสองคนไม่สูบบุหรี่ คนในบ้านข้างเคียงติดรั้วด้านนั้นก็ไม่สูบบุหรี่ ต้นไม้บริเวณดังกล่าวจะไม่สมบูรณ์ การเจริญเติบโตช้ามากแม้จะพยายามดูแลอย่างดีก็ตาม และบางต้นจะโทรมเป็นพิเศษทั้งๆที่เป็นพันธุ์ไม้ที่เลี้ยงง่ายโตเร็ว
….เฮ้อ… ทำทุกอย่าง ไม่ละเว้นแม้แต่ต้นไม้ หมักปุ๋ยน้ำเพื่อที่จะเอาไปบำรุงต้นไม้ก็ถูกกลั่นแกล้ง เพียงเพื่อกดดันเรา ต้องทำให้ชีวิตมันมีแต่สิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์อยู่รอบๆ ในบ้านก็เล่นงานที่ต้นไม้ ข้างบ้านก็มีคลองที่ดำสนิทจนเหลือเชื่อ แถมบางวันยังมีขยะเต็มคลอง (เต็มทุกตารางนิ้วจริงๆ)สงบนิ่งอยู่เฉพาะที่หน้าบ้านของเรา แล้วอากาศที่หายใจล่ะ เดี๋ยวจะมีแรงมาต่อสู้ ต้องให้สูดดมสารพิษเข้าไปทุกวัน ให้ลืมไปเลยว่าอากาศบริสุทธิ์เป็นอย่างไร (เรื่องสารพิษนี้เป้าหมายซ่อนเร้นซึ่งเป็นความต้องการที่แท้จริงคือการตายอย่างไร้ร่องรอยซึ่งอาจออกมาในรูปของมะเร็ง หรือตับไตถูกทำลาย แต่เขาจะทำให้คนที่ร่วมกิจกรรมกับพวกเขาเข้าใจว่าเป็นแค่วิธีการกดดันเท่านั้น) ยังไม่หมด อย่าให้ได้อยู่อย่างสงบ เดินผ่านบ้านหลังนี้ก็อย่าลืมส่งเสียงนะ (ทั้งขาประจำขาจร) เท่านั้นยังไม่พอ ต้องเสริมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนที่ช้าโจมตีถึงบ้าน (พวกซาเล้ง, ค้าเร่อื่นๆ) ครับ ความเลวร้ายในอีกด้านหนึ่งของสังคมไทยยังคงดำเนินต่อไปเหมือนที่เป็นมาในอดีต อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่สังคมนี้หรือโลกใบนี้ยังมีเรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อมากกว่านี้อีกเยอะ และมันเกิดขึ้นแล้ว ที่บ้านของเรา
การลอบเข้าบ้านยามวิกาลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกลั่นแกล้งและข่มขู่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เราย้ายมาอยู่บ้านนี้เมื่อสามปีก่อน (ดูการข่มขู่ให้กลัว) เราพบก้นกรองบุหรี่อยู่ที่พื้นดินระหว่างตัวบ้านกับต้นไม้ที่ปลูกตามแนวรั้วด้านหนึ่งเป็นประจำ เราสองคนไม่สูบบุหรี่ คนในบ้านข้างเคียงติดรั้วด้านนั้นก็ไม่สูบบุหรี่ ต้นไม้บริเวณดังกล่าวจะไม่สมบูรณ์ การเจริญเติบโตช้ามากแม้จะพยายามดูแลอย่างดีก็ตาม และบางต้นจะโทรมเป็นพิเศษทั้งๆที่เป็นพันธุ์ไม้ที่เลี้ยงง่ายโตเร็ว
….เฮ้อ… ทำทุกอย่าง ไม่ละเว้นแม้แต่ต้นไม้ หมักปุ๋ยน้ำเพื่อที่จะเอาไปบำรุงต้นไม้ก็ถูกกลั่นแกล้ง เพียงเพื่อกดดันเรา ต้องทำให้ชีวิตมันมีแต่สิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์อยู่รอบๆ ในบ้านก็เล่นงานที่ต้นไม้ ข้างบ้านก็มีคลองที่ดำสนิทจนเหลือเชื่อ แถมบางวันยังมีขยะเต็มคลอง (เต็มทุกตารางนิ้วจริงๆ)สงบนิ่งอยู่เฉพาะที่หน้าบ้านของเรา แล้วอากาศที่หายใจล่ะ เดี๋ยวจะมีแรงมาต่อสู้ ต้องให้สูดดมสารพิษเข้าไปทุกวัน ให้ลืมไปเลยว่าอากาศบริสุทธิ์เป็นอย่างไร (เรื่องสารพิษนี้เป้าหมายซ่อนเร้นซึ่งเป็นความต้องการที่แท้จริงคือการตายอย่างไร้ร่องรอยซึ่งอาจออกมาในรูปของมะเร็ง หรือตับไตถูกทำลาย แต่เขาจะทำให้คนที่ร่วมกิจกรรมกับพวกเขาเข้าใจว่าเป็นแค่วิธีการกดดันเท่านั้น) ยังไม่หมด อย่าให้ได้อยู่อย่างสงบ เดินผ่านบ้านหลังนี้ก็อย่าลืมส่งเสียงนะ (ทั้งขาประจำขาจร) เท่านั้นยังไม่พอ ต้องเสริมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนที่ช้าโจมตีถึงบ้าน (พวกซาเล้ง, ค้าเร่อื่นๆ) ครับ ความเลวร้ายในอีกด้านหนึ่งของสังคมไทยยังคงดำเนินต่อไปเหมือนที่เป็นมาในอดีต อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่สังคมนี้หรือโลกใบนี้ยังมีเรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อมากกว่านี้อีกเยอะ และมันเกิดขึ้นแล้ว ที่บ้านของเรา
Labels:
กลั่นแกล้งและข่มขู่
Thursday, February 10, 2005
"หมา" ...จำแนกตามพฤติกรรม...
เช้าวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2548 อากาศค่อนข้างเย็น ผมออกจากบ้านเดินไปสระว่ายน้ำใกล้บ้านบนเส้นทางที่เดินเป็นประจำ เมื่อผ่านชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองที่ตัดขวางซอยมาได้ไม่กี่เมตร ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนเดินคุยกันตามหลังมาติดๆ คิดว่าอยู่ห่างไปไม่เกิน 2 เมตร คนหนึ่งพูดเรื่องเงินของมูลนิธิแห่งหนึ่ง อีกคนพูดแต่คำว่า “หมา” กับ “หมาใน” ฟังอยู่สักพักพบว่าสองคนนี้พูดคนละเรื่องเดียวกัน คือต่างคนต่างก็พูดเรื่องของตัว และประโยคหรือคำพูดก็ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ผู้กำกับการแสดงอาจมือไม่ถึง เซ็ตมุขสั้นไป หรืออาจต้องการจะเน้นเรื่อง “หมา” ให้มันจะๆกันไปเลยก็ได้ เมื่อชัดเจนว่าเป็นการเซ็ตมุข และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดท่องคำเหล่านั้นอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงปากซอย ผมจึงคิดออกไปดังๆว่า “ก็หมาลอบกัดไง”
เหตุการณ์ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของมุข “หมา” ที่อำนาจมืดและเครือข่ายผลประโยชน์ใช้กับเราเป็นประจำ ทุกที่ทุกโอกาส ผู้ปฏิบัติก็มีหลายระดับ (เครือข่ายอำนาจมืดครอบคลุมกลุ่มผลประโยชน์ทุกระดับ) ตั้งแต่พวกที่ดูดีมีสตางค์มีความรู้ ไปจนถึงพวกหากินตามบาทวิถี (ดู หมาประจำซอย)
พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงจิตใจของคนพวกนี้ได้เป็นอย่างดี (โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลัง) คนที่สามารถทำร้ายผู้ที่ไม่เคยทำอะไรพวกเขามาก่อน คนที่พวเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ขอให้มีใบสั่งมาเป็นใช้ได้ คุณธรรมกลายเป็นเรื่อง ไร้สาระ... สำหรับพวกเขา ชีวิตคือ ผลประโยชน์
พวกเขามุ่งทำลายเป้าหมายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในวันพิเศษต่างๆ เช่น วันปีใหม่อย่างที่เล่ามานี้ จะมีการระดมก่อกวนเพื่อผลทางจิตวิทยา นี่หากอำนาจมืดสบโอกาสจริงๆผมคงไม่ได้มานั่งเขียนนั่งเล่าอะไรให้สังคมได้รับรู้กัน
วันนี้ก็เพิ่งเจอมุข “หมา” มาอีก ดูท่าจะชอบมุขนี้มาก (ยังมีมุขอื่นๆอีก แล้วผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง) เลยคิดว่าถึงเวลาต้องทำอะไรบ้างแล้ว คงต้องให้ข้อมูลพวกเขาพิจารณาตัวเองบ้าง เพราะสำหรับคนบางประเภทเคยชินกับการใช้อำนาจและพวกพ้องรังแกคนอื่น นานวันเข้าจะไม่หันมามองตัวเอง
พวกที่ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เปิดเผย เขาเรียกว่า หมาลอบกัด
พวกที่รุมทำร้ายผู้อื่น เขาเรียกว่า หมาหมู่
พวกที่ชอบเสนอหน้าประจบประแจงเอาความดีความชอบ ชอบแสดงตัวเป็นผู้รู้ใจนายในทางเลวๆ เช่น รู้ว่านายเกลียดใครก็รีบไปกลั่นแกล้งให้ รวมทั้งพวกที่เต็มใจทำตามใบสั่งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ เขาเรียกว่า สุนัขรับใช้
ใครจัดอยู่ประเภทไหนก็ดูกันเอาเองนะครับ จะได้ไม่หลงไปยัดเยียดให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็น “หมาหางด้วน”
เหตุการณ์ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของมุข “หมา” ที่อำนาจมืดและเครือข่ายผลประโยชน์ใช้กับเราเป็นประจำ ทุกที่ทุกโอกาส ผู้ปฏิบัติก็มีหลายระดับ (เครือข่ายอำนาจมืดครอบคลุมกลุ่มผลประโยชน์ทุกระดับ) ตั้งแต่พวกที่ดูดีมีสตางค์มีความรู้ ไปจนถึงพวกหากินตามบาทวิถี (ดู หมาประจำซอย)
พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงจิตใจของคนพวกนี้ได้เป็นอย่างดี (โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลัง) คนที่สามารถทำร้ายผู้ที่ไม่เคยทำอะไรพวกเขามาก่อน คนที่พวเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ขอให้มีใบสั่งมาเป็นใช้ได้ คุณธรรมกลายเป็นเรื่อง ไร้สาระ... สำหรับพวกเขา ชีวิตคือ ผลประโยชน์
พวกเขามุ่งทำลายเป้าหมายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในวันพิเศษต่างๆ เช่น วันปีใหม่อย่างที่เล่ามานี้ จะมีการระดมก่อกวนเพื่อผลทางจิตวิทยา นี่หากอำนาจมืดสบโอกาสจริงๆผมคงไม่ได้มานั่งเขียนนั่งเล่าอะไรให้สังคมได้รับรู้กัน
วันนี้ก็เพิ่งเจอมุข “หมา” มาอีก ดูท่าจะชอบมุขนี้มาก (ยังมีมุขอื่นๆอีก แล้วผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง) เลยคิดว่าถึงเวลาต้องทำอะไรบ้างแล้ว คงต้องให้ข้อมูลพวกเขาพิจารณาตัวเองบ้าง เพราะสำหรับคนบางประเภทเคยชินกับการใช้อำนาจและพวกพ้องรังแกคนอื่น นานวันเข้าจะไม่หันมามองตัวเอง
พวกที่ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เปิดเผย เขาเรียกว่า หมาลอบกัด
พวกที่รุมทำร้ายผู้อื่น เขาเรียกว่า หมาหมู่
พวกที่ชอบเสนอหน้าประจบประแจงเอาความดีความชอบ ชอบแสดงตัวเป็นผู้รู้ใจนายในทางเลวๆ เช่น รู้ว่านายเกลียดใครก็รีบไปกลั่นแกล้งให้ รวมทั้งพวกที่เต็มใจทำตามใบสั่งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ เขาเรียกว่า สุนัขรับใช้
ใครจัดอยู่ประเภทไหนก็ดูกันเอาเองนะครับ จะได้ไม่หลงไปยัดเยียดให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็น “หมาหางด้วน”
Friday, February 04, 2005
บ้านเรา ...เอาส์ชวิตซ์เมืองไทย...!
27 มกราคม 2005 ที่ผ่านมา หลายประเทศได้จัดงานรำลึกเนื่องในวันครบรอบหกสิบปีของการปลดปล่อยค่ายกักกันนาซีที่เมือง เอาส์ชวิตซ์ (Auschwitz)ในโปแลนด์ สถานที่สังหารหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง วันที่ 27 มกราคม 1945 หรือเมื่อหกสิบปีที่แล้ว กองทัพแดงของรัสเซียได้เข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดของนาซีที่เมืองเอาส์ชวิตซ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ กระทรวงข่าวสารของโปแลนด์เปิดเผยว่า ห้องแก๊สที่เอาส์ชวิตซ์สามารถฆ่าคนได้ถึง 6,000 คนต่อวัน (แก๊สพิษที่ใช้ในการสังหารหมู่ คือยาฆ่าแมลง Zyklon B โดยสร้างห้องรมแก๊สพิษติดกับอาคารเผาศพ)
หลายวันก่อนที่กองทัพแดงจะเข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ ทหารเยอรมันได้รับคำสั่งให้ทำลายอาคารที่ใช้เผาศพและห้องแก๊ส ขณะล่าถอย นักโทษที่ยังเดินได้ซึ่งอาจมีถึง 60,000 คน ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่คุมขังและถูกบังคับให้เดินไปยังค่ายอื่นๆในเยอรมัน เมื่อกองทัพแดงมาถึง พวกเขาพบว่ามีนักโทษเหลืออยู่ในค่ายไม่กี่พันคน พวกนี้ป่วยเกินกว่าจะไปไหนได้ พวกเขายังพบเส้นผมของผู้หญิง ฟันมนุษย์ที่เอาทองคำที่อุดไว้ออกแล้ว และเสื้อผ้าเด็กหลายหมื่นชุด ซึ่งของเหล่านี้มีน้ำหนักรวมกันถึง 7 ตัน ประมาณกันว่ายอดตัวเลขของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สูงถึง 1 - 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 800,000 แสนคน (บางรายงานว่า 1,000,000 คน)
(เรียบเรียงจากข้อมูลของบีบีซี)
ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์
รูดอล์ฟ เฮิสส์ ทหารหน่วยเอสเอส ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ เขาเป็นผู้สร้างและควบคุมค่ายนี้ วิตนี่ แฮร์ริส อัยการชาวอเมริกันที่ซักถามเฮิสส์ในการไต่สวนที่นูเร็มเบอร์ก กล่าวว่า รูดอล์ฟ เฮิสส์ ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เหมือนเสมียนตามร้านขายของชำ ซึ่งอดีตนักโทษที่เคยพบเขาที่เอาส์ชวิตซ์ก็ยืนยันภาพลักษณ์นี้ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเฮิสส์มักจะดูสงบและสำรวม เขาเป็นนักสังหารหมู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยประสบ แต่กระนั้น ไม่มีข้อมูลว่าเขาเคยลงมือทุบตีผู้ใดในค่ายกักกัน อย่าว่าแต่ฆ่าใครสักคนเลย
(ที่มา: บีบีซี)
ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง วันที่ 27 มกราคม 1945 หรือเมื่อหกสิบปีที่แล้ว กองทัพแดงของรัสเซียได้เข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดของนาซีที่เมืองเอาส์ชวิตซ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ กระทรวงข่าวสารของโปแลนด์เปิดเผยว่า ห้องแก๊สที่เอาส์ชวิตซ์สามารถฆ่าคนได้ถึง 6,000 คนต่อวัน (แก๊สพิษที่ใช้ในการสังหารหมู่ คือยาฆ่าแมลง Zyklon B โดยสร้างห้องรมแก๊สพิษติดกับอาคารเผาศพ)
หลายวันก่อนที่กองทัพแดงจะเข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ ทหารเยอรมันได้รับคำสั่งให้ทำลายอาคารที่ใช้เผาศพและห้องแก๊ส ขณะล่าถอย นักโทษที่ยังเดินได้ซึ่งอาจมีถึง 60,000 คน ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่คุมขังและถูกบังคับให้เดินไปยังค่ายอื่นๆในเยอรมัน เมื่อกองทัพแดงมาถึง พวกเขาพบว่ามีนักโทษเหลืออยู่ในค่ายไม่กี่พันคน พวกนี้ป่วยเกินกว่าจะไปไหนได้ พวกเขายังพบเส้นผมของผู้หญิง ฟันมนุษย์ที่เอาทองคำที่อุดไว้ออกแล้ว และเสื้อผ้าเด็กหลายหมื่นชุด ซึ่งของเหล่านี้มีน้ำหนักรวมกันถึง 7 ตัน ประมาณกันว่ายอดตัวเลขของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สูงถึง 1 - 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 800,000 แสนคน (บางรายงานว่า 1,000,000 คน)
(เรียบเรียงจากข้อมูลของบีบีซี)
ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์
รูดอล์ฟ เฮิสส์ ทหารหน่วยเอสเอส ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ เขาเป็นผู้สร้างและควบคุมค่ายนี้ วิตนี่ แฮร์ริส อัยการชาวอเมริกันที่ซักถามเฮิสส์ในการไต่สวนที่นูเร็มเบอร์ก กล่าวว่า รูดอล์ฟ เฮิสส์ ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เหมือนเสมียนตามร้านขายของชำ ซึ่งอดีตนักโทษที่เคยพบเขาที่เอาส์ชวิตซ์ก็ยืนยันภาพลักษณ์นี้ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเฮิสส์มักจะดูสงบและสำรวม เขาเป็นนักสังหารหมู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยประสบ แต่กระนั้น ไม่มีข้อมูลว่าเขาเคยลงมือทุบตีผู้ใดในค่ายกักกัน อย่าว่าแต่ฆ่าใครสักคนเลย
(ที่มา: บีบีซี)
ผมและภรรยาเพิ่งจะมีประสบการณ์ตรงกับกับเรื่องแก๊สพิษเมื่อประมาณ 8 ปีที่ผ่านมา และโดนหนักมากในช่วง 3 ปีหลัง เมื่อเราย้ายจากบ้านแม่กลับมาอยู่บ้านของเราเอง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการกดดันด้วยวิธีนี้ มีการใช้แก๊สสารพัดกลิ่นในปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแรงในทันที แต่เมื่อร่างกายรับเอาสารพิษเข้าไปมากๆ สุขภาพจะอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย มีปัญหาระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง สมอง ระบบประสาท และอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ปอด ตับและไตถูกทำลาย ในที่สุดโรคร้ายก็จะตามมาและอาจถึงแก่ความตายได้อย่างไร้ร่องรอย
ดู ...ความเป็นมา... และ ...สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย...
ดู ...ความเป็นมา... และ ...สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย...
Tuesday, January 04, 2005
ส่งท้ายปีเก่า...
ห้าทุ่มของคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวหลายครั้งที่ท้ายบ้านซึ่งติดกับที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคลองระบายน้ำสาธารณะเชื่อมต่อกับคลองแสนแสบ บางลูกระเบิดรุนแรงและใกล้บ้านจนเรารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
เที่ยงคืนของวันเดียวกัน เสียงประทัดผสมเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นจากบริเวณที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง เราเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังจุดระเบิดที่ตีนบันไดขึ้นอาคารที่พักหลังหนึ่ง ที่เราเรียกว่าจุดระเบิดเพราะเมื่อคนทำการจุดวัตถุนั้น จะมีแสงแดงวาบขึ้นพร้อมกับเกิดเสียงดังมากเหมือนเสียงระเบิด ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีการจุดพลุจากบริเวณใกล้เคียง อาจเป็นในเอกมัยหรือไม่ก็ทองหล่อ พลุระเบิดกลางอากาศบนท้องฟ้าใกล้บ้าน
พวกที่จุดระเบิดพยายามอำพรางว่าเสียงระเบิดที่ตนทำขึ้นนั้น เป็นการจุดพลุ แต่บังเอิญเราเห็นกับตาว่าไม่ใช่ เราเห็นทั้งตอนที่คนพวกนั้นจุด และแนวการยิงพลุซึ่งบอกถึงต้นตอของพลุนั้น ซึ่งเป็นคนละจุดกัน ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าหากอ้างว่าเป็นการจุดพลุแล้วจะสมเหตุสมผล ดังเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 วันลอยกระทงที่ผ่านมา มีการจุดระเบิดบริเวณเดียวกันนี้ ครั้งนั้นเราโทรศัพท์แจ้ง 191 เจ้าหน้าที่ถามเราแบบไม่แน่ใจว่าเป็นการจุดพลุหรือเปล่า เรายืนยันว่าไม่ใช่
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ แล้วใช้วิจารณญาณของท่านสรุปว่าการกระทำดังกล่าวสมเหตุผลหรือไม่ และเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่
ประการแรก ปัญหาเรื่องการจุดประทัดจุดระเบิดบริเวณนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว และเราก็ร้องเรียนมาตลอด เหตุใดจึงไม่มีการแก้ไขปัญหา ดูข้อ (2) และ (3) ของ การข่มขู่ให้กลัว
ประการที่สอง บริเวณดังกล่าวเป็นที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอาคารที่พักห้าชั้นจำนวน 6 อาคาร มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยงานต่างๆพักอยู่จำนวนมาก เหตุใดจึงปล่อยให้มีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้น ขณะที่ตำรวจห้ามประชาชนกระทำการดังกล่าว แต่การกระทำเดียวกันนี้กลับเกิดขึ้นซ้ำซากในเขตตำรวจเอง เมื่อไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วจะไปห้ามปรามคนอื่นได้อย่างไร
ประการที่สาม การจุดประทัดและระเบิดเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในวันสำคัญต่างๆ แม้แต่วันเฉลิมพระชมน์พรรษาฯ ซึ่งการจุดประทัดจุดระเบิดในวันอันเป็นมงคลเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ พวกเขาควรจะจุดเทียนถวายพระพรมากกว่า
ประการที่สี่ อาคารที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้ง 6 อาคาร ตั้งเรียงตามยาวเป็น 2 แถวๆละ 3 อาคาร เรียงกันตั้งแต่หลังสน.ไปจนจรดคลองสาธารณะและหลังบ้านของเรา เหตุใดจึงไม่จุดประทัดจุดระเบิดที่จุดอื่นหรืออาคารอื่น แต่กลับมาจุดที่บริเวณหลังบ้านชาวบ้านที่ร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนเรื่องนี้มาตลอด
ประการที่ห้า การจุดระเบิดในวันที่ 31 ธันวาคม 2547 กระทำถึง 2 รอบ คือตอนห้าทุ่มรอบหนึ่ง และเที่ยงคืนอีกรอบหนึ่ง ซึ่งการจุดพลุดอกไม้ไฟในวาระขึ้นปีใหม่ตามเป็นประเพณีจะกระทำตอนเที่ยงคืนเท่านั้น
ประการที่หก การจุดพลุดอกไม้ไฟในวาระสำคัญๆ หากจะกระทำก็ต้องกระทำในสถานที่อันควร มีมาตรการรองรับด้านความปลอดภัย ต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนที่ประชาชนอาจได้รับ ทั้งในเรื่องของเสียงรบกวนและอันตรายที่อาจเกิดจากการจุดพลุนั้น ไม่ใช่ใครนึกอยากจะจุดพลุหรือดอกไม้ไฟเล่นที่ไหนก็ได้ ดังนั้น ความพยายามที่จะให้เข้าใจว่าเป็นการจุดพลุจึงไม่มีเหตุผลพอที่จะนำมากล่าวอ้างได้
ประการที่เจ็ด เหตุการณ์ซึนามิที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากที่ภาคใต้หากนับรวมผู้สูญหายด้วยแล้ว ยอดการสูญเสียเป็นหมื่น นำความโศกเศร้ามาสู่พี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศต่างๆทั่วโลกก็ร่วมไว้อาลัยกับการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ บางประเทศถึงกับงดการจุดพลุเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ รัฐบาลมีคำสั่งให้ส่วนราชการงดงานรื่นเริง ท่านนายกทักษิณประกาศงดการไปร่วมในพิธีเคานท์ดาวน์ทุกแห่ง ทุกพระองศ์เศร้าโศกกับการจากไปของคุณพุ่มและประชาชนไทย แต่กลับมีการจุดระเบิดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในที่พักข้าราชการตำรวจใจกลางกรุงเทพ
ท่านอ่านแล้วคิดอย่างไร สำหรับเรา มีคำตอบชัดเจนนานแล้ว
เที่ยงคืนของวันเดียวกัน เสียงประทัดผสมเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นจากบริเวณที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง เราเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังจุดระเบิดที่ตีนบันไดขึ้นอาคารที่พักหลังหนึ่ง ที่เราเรียกว่าจุดระเบิดเพราะเมื่อคนทำการจุดวัตถุนั้น จะมีแสงแดงวาบขึ้นพร้อมกับเกิดเสียงดังมากเหมือนเสียงระเบิด ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีการจุดพลุจากบริเวณใกล้เคียง อาจเป็นในเอกมัยหรือไม่ก็ทองหล่อ พลุระเบิดกลางอากาศบนท้องฟ้าใกล้บ้าน
พวกที่จุดระเบิดพยายามอำพรางว่าเสียงระเบิดที่ตนทำขึ้นนั้น เป็นการจุดพลุ แต่บังเอิญเราเห็นกับตาว่าไม่ใช่ เราเห็นทั้งตอนที่คนพวกนั้นจุด และแนวการยิงพลุซึ่งบอกถึงต้นตอของพลุนั้น ซึ่งเป็นคนละจุดกัน ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าหากอ้างว่าเป็นการจุดพลุแล้วจะสมเหตุสมผล ดังเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 วันลอยกระทงที่ผ่านมา มีการจุดระเบิดบริเวณเดียวกันนี้ ครั้งนั้นเราโทรศัพท์แจ้ง 191 เจ้าหน้าที่ถามเราแบบไม่แน่ใจว่าเป็นการจุดพลุหรือเปล่า เรายืนยันว่าไม่ใช่
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาเหตุผลต่อไปนี้ แล้วใช้วิจารณญาณของท่านสรุปว่าการกระทำดังกล่าวสมเหตุผลหรือไม่ และเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่
ประการแรก ปัญหาเรื่องการจุดประทัดจุดระเบิดบริเวณนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว และเราก็ร้องเรียนมาตลอด เหตุใดจึงไม่มีการแก้ไขปัญหา ดูข้อ (2) และ (3) ของ การข่มขู่ให้กลัว
ประการที่สอง บริเวณดังกล่าวเป็นที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอาคารที่พักห้าชั้นจำนวน 6 อาคาร มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยงานต่างๆพักอยู่จำนวนมาก เหตุใดจึงปล่อยให้มีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้น ขณะที่ตำรวจห้ามประชาชนกระทำการดังกล่าว แต่การกระทำเดียวกันนี้กลับเกิดขึ้นซ้ำซากในเขตตำรวจเอง เมื่อไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วจะไปห้ามปรามคนอื่นได้อย่างไร
ประการที่สาม การจุดประทัดและระเบิดเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในวันสำคัญต่างๆ แม้แต่วันเฉลิมพระชมน์พรรษาฯ ซึ่งการจุดประทัดจุดระเบิดในวันอันเป็นมงคลเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ พวกเขาควรจะจุดเทียนถวายพระพรมากกว่า
ประการที่สี่ อาคารที่พักข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้ง 6 อาคาร ตั้งเรียงตามยาวเป็น 2 แถวๆละ 3 อาคาร เรียงกันตั้งแต่หลังสน.ไปจนจรดคลองสาธารณะและหลังบ้านของเรา เหตุใดจึงไม่จุดประทัดจุดระเบิดที่จุดอื่นหรืออาคารอื่น แต่กลับมาจุดที่บริเวณหลังบ้านชาวบ้านที่ร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนเรื่องนี้มาตลอด
ประการที่ห้า การจุดระเบิดในวันที่ 31 ธันวาคม 2547 กระทำถึง 2 รอบ คือตอนห้าทุ่มรอบหนึ่ง และเที่ยงคืนอีกรอบหนึ่ง ซึ่งการจุดพลุดอกไม้ไฟในวาระขึ้นปีใหม่ตามเป็นประเพณีจะกระทำตอนเที่ยงคืนเท่านั้น
ประการที่หก การจุดพลุดอกไม้ไฟในวาระสำคัญๆ หากจะกระทำก็ต้องกระทำในสถานที่อันควร มีมาตรการรองรับด้านความปลอดภัย ต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนที่ประชาชนอาจได้รับ ทั้งในเรื่องของเสียงรบกวนและอันตรายที่อาจเกิดจากการจุดพลุนั้น ไม่ใช่ใครนึกอยากจะจุดพลุหรือดอกไม้ไฟเล่นที่ไหนก็ได้ ดังนั้น ความพยายามที่จะให้เข้าใจว่าเป็นการจุดพลุจึงไม่มีเหตุผลพอที่จะนำมากล่าวอ้างได้
ประการที่เจ็ด เหตุการณ์ซึนามิที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากที่ภาคใต้หากนับรวมผู้สูญหายด้วยแล้ว ยอดการสูญเสียเป็นหมื่น นำความโศกเศร้ามาสู่พี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศต่างๆทั่วโลกก็ร่วมไว้อาลัยกับการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ บางประเทศถึงกับงดการจุดพลุเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ รัฐบาลมีคำสั่งให้ส่วนราชการงดงานรื่นเริง ท่านนายกทักษิณประกาศงดการไปร่วมในพิธีเคานท์ดาวน์ทุกแห่ง ทุกพระองศ์เศร้าโศกกับการจากไปของคุณพุ่มและประชาชนไทย แต่กลับมีการจุดระเบิดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในที่พักข้าราชการตำรวจใจกลางกรุงเทพ
ท่านอ่านแล้วคิดอย่างไร สำหรับเรา มีคำตอบชัดเจนนานแล้ว
Subscribe to:
Comments (Atom)