กล่าวกันว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้เรามีประชาธิปไตย เราขับไล่เผด็จการทหาร คนกลุ่มหนึ่งถูกเรียกว่าทรราช 32 ปีผ่านไป ผมพบว่าจิตสำนึกเผด็จการยังคงวนเวียนอยู่กับคนไทยจำนวนมาก ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญ คนเหล่านั้นเป็น พลเรือน หรือว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เป็นแค่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ?
ดูกรณีรับน้องใหม่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆจำนวนมาก รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหลายแห่งจัดพิธีรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงหรือไม่ก็บังคับให้กระทำการอย่างวิตถาร เช่น บังคับน้องใหม่ชายให้เปลื้องผ้าแล้วลากไปตามพื้นคอนกรีต ให้เปลื้องผ้าคลานลุยไปตามโคลน รับน้องแบบมาราธอนหลายวันหลายคืนจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนมาก บังคับให้น้องใหม่กินน้ำกะปิ ให้น้องใหม่ชายสำเร็จความใคร่ ให้น้องใหม่หญิงแสดงท่าในลักษณะร่วมเพศกับน้องใหม่ชาย ให้น้องใหม่หญิงเต้นรูดเสาแบบผู้หญิงตามบาร์แล้วให้น้องใหม่ชายทำตัวเป็นเสา ตลอดจนบังคับกดดันด้วยข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามใช้มือถือ ฯลฯ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและในคณะที่นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดแบบนั้น และหลายๆแห่งผู้ร้องเรียนยืนยันว่ามีอาจารย์รับรู้เรื่องเหล่านั้น และทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วประเทศ ได้มีการดำเนินการสอบสวนในหลายสถาบัน แต่กลับมีบางสถาบันที่รุ่นพี่ยังคงรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป
ผมมองว่านี่คือผลพวงของจิตสำนึกแบบเผด็จการ ความต้องการที่จะมีอำนาจและแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นด้วยการบีบบังคับให้ยอมตาม มันอาจเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์ และเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งไม่พัฒนาจิตใจ ความเป็นเผด็จการก็จะปรากฏออกมาในรูปแบบต่างๆ
นอกจากเรื่องรับน้องใหม่ข้างต้นแล้ว ผมยังเห็นถึงภาพสะท้อนทัศนะคติของคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ (คิดว่า) เปลี่ยนแปลงไป คงจำโฆษณาทางโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกันได้ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งถามนักศึกษาสาวว่าทำนี่ได้ไหม ทำนั่นได้ไหม และจบลงที่คำถาม “ชงกาแฟได้ไหม ?” ความจริงใครจะชงกาแฟให้ใครเพราะชอบพอนับถือเป็นส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ถ้าพูดกันเหมือนกับว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการจะรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานแล้ว มันจะมากไปหรือเปล่า ในทางปฏิบัติ ที่ทำงานบางแห่งอาจมีวัฒนธรรมการใช้พนักงานใหม่หรือลูกน้องชงกาแฟให้ก็เป็นได้ (ผมไม่ได้หมายถึงการให้เลขาหรือแม่บ้านชงให้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ) แต่เมื่อนำมาทำเป็นโฆษณาที่มีคนดูนับล้านแบบนี้ ทำให้สงสัยว่านี่เป็นมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยไปแล้วหรือ ?
การเคารพและให้เกียรติผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในสังคมทุกวันนี้เหลืออยู่สักเพียงใด ? หรือเหลือแต่สังคมพวกพ้องและผลประโยชน์ จนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว กระบวนการคัดสรรคนเข้ากลุ่มด้วยวิธีการต่างๆในสังคมไทยปัจจุบันดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไม่มีพวกพ้องก็อยู่ลำบาก จะเข้าเป็นพวกพ้องก็มักต้องผ่านเงื่อนไขที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ระดับหนึ่งก่อน ถ้าอยากเป็นคนดีของสังคม (ของพวกเขา) เขาบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกบีบให้อยู่ในสังคมนั้นไม่ได้
จิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ความรุนแรงและบีบบังคับผู้อื่นให้ทำตามความพอใจของตน ไม่ได้แตกต่างจากจิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นเก่าหรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่หลายๆคนแต่อย่างใด และยิ่งไม่ต่างจากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเผด็จการในอดีต มันเป็นความคิดชุดเดียวกัน จิตสำนึกแบบนี้หรือเปล่าที่เอื้ออำนวยให้อำนาจมืดมีเครือข่ายครอบงำสังคมไทยทุกระดับทุกวงการอย่างทุกวันนี้