เช้าวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ย. 2547 ผมไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์เหมือนอาทิตย์ก่อนๆ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ลมแรงพัดมาจากทิศตะวันออก ทำให้การปั่นเที่ยวขาไปต้องออกแรงมากหน่อย แต่ขากลับปั่นตามลม ทำความเร็วได้ดีทีเดียว หลังจากปั่นไปประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาที ผมกลับมาที่รถและพบว่าลืมปิดไฟหน้า ใจคอไม่ดี ถ้าสตาร์ทไม่ติดจะทำยังไง แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนและไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยเข็นด้วย ขึ้นรถบิดกุญแจ เงียบสนิท แบตหมดแน่ๆ ผมลงจากรถมองไปรอบๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเตรียมร้านซึ่งตั้งอยู่บนทางเท้าฝั่งตรงข้าม แต่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกประมาณร้อยกว่าเมตร เข้าใจว่าเป็นร้านอาหาร ผมตัดสินใจเดินไปที่นั่น
เธออายุประมาณ 30 ปี นุ่งกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมศรีษะแบบหญิงมุสลิมทั่วไป ผมเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดว่าต้องการอะไร เธอก็พูดขึ้นเองว่า “จะให้ช่วยเข็นรถใช่ไหม” ผมตอบว่า “ใช่” เธอไม่มีทีท่ารำคาญที่เราไปขัดจังหวะการทำงานของเธอเลย เธอสื่อสารกับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซื่อๆ เต็มอกเต็มใจ เธอหันหลังเดินไปที่บ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตรติดริมถนน ได้ยินเสียงเธอเรียก “บังๆ” และพูดบางอย่างกับชายคนนั้น ชายวัย 30 เศษ รูปร่างแกร่ง ไม่อ้วนไม่ผอม เดินมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กระตือรือร้น เขานุ่งกางเกงขายาวสีเทาหม่นๆกับเสื้อแขนสั้นปล่อยชายสีเดียวกัน สวมหมวกไหมพรมสีครีม บังเป็นพี่ชายของผู้หญิงคนนั้น บังเข็นที่ท้ายรถ ส่วนผมเข็นที่ประตูคนขับ พอความเร็วได้ที่ผมกระโดดขึ้นรถ เข้าเกียร์สอง ปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่ง เครื่องติดอย่างง่ายดาย พอรถติดบังก็หันหลังข้ามถนนเดินกลับบ้าน ผมต้องรีบตะโกนขอบคุณเขา
ผมปล่อยให้เครื่องเดินอยู่ประมาณห้านาที ระหว่างนั้นผมวิ่งอยู่บนไหล่ถนนไม่ห่างจากรถนัก เมื่อแน่ใจว่ามีไฟพอแล้ว ผมดับเครื่องและวิ่งต่อ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและวกกลับถึงรถเมื่อวิ่งไปได้สามสิบนาที หลังจากดื่มน้ำดับกระหาย ผมเตรียมตัวกลับบ้าน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก เครื่องสตาร์ทไม่ติด เงียบเหมือนครั้งก่อน เป็นไปได้ยังไง เราเพิ่งเปลี่ยนแบตเมื่อหกเดือนก่อน แบตไม่น่าจะเสื่อมถึงกับเก็บไฟไม่อยู่ สงสัยไดสตาร์ทจะมีปัญหา แต่เราก็เพิ่งเปลี่ยนไดสตาร์ทพร้อมกับแบตลูกนี้นี่นา หรือว่าจะเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้เหมือนแอร์รถที่เปลี่ยนทุกอย่างแม้แต่ตัวคอมเพรสเซอร์ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้จนทุกวันนี้ผมเลิกใช้แอร์ไปแล้ว มันคงเป็นโรคประจำตัวผมกระมัง
ผมเดินกลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไม่ทันจะพูดอะไรมาก เธอก็พูดขึ้นเหมือนเดิม “จะให้ช่วยเข็นอีกใช่ไหม” ผมเองก็เกรงใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “รบกวนอีกสักครั้ง” เธอไปตามบังมาอีก บังยังคงยิ้มแย้มอารมณ์ดีเหมือนครั้งแรก เมื่อเข็นรถเครื่องติดแล้ว ผมจะให้สตางค์บัง แต่บังปฏิเสธ (ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกแล้ว!) ผมนึกขึ้นมาได้ว่ามีส้มอยู่สองลูกกับขนมปังใส้ถั่วแดงหนึ่งก้อนที่เตรียมมากินหลังออกกำลัง ผมชะโงกเข้าไปในรถ คว้าส้มหนึ่งลูกกับขนมปังไส้ถั่วแดง ยื่นใส่มือบังพร้อมกับพูดว่า “แบ่งกัน” ผมขอบคุณบังก่อนที่เขาจะข้ามถนนกลับไป พอจัดการอะไรอีกนิดหน่อยเสร็จเรียบร้อย ผมกลับรถขับผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว บังยังคงยืนอยู่กับน้องสาว บังเคี้ยวอะไรบางอย่างในปาก อาจเป็นส้มหรือขนมปังที่เพิ่งได้ไปจากผม ทั้งสองคนยิ้มแย้มโบกมือกับผม พวกเขายิ้มจากใจจริงๆ ผมสัมผัสได้ ผมเชื่อว่าพวกเขาก็สัมผัสได้เช่นกัน น้ำใจ ความโอบอ้อมอารี และ …มิตรภาพ… สิ่งดีๆที่ขาดหายไปจากชีวิตผมนานมากแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าเหตุการณ์จะผันแปรอย่างไร อำนาจนอกระบบจะบีบให้คนต้องเปลี่ยนไปขนาดไหน ผมจะจดจำความประทับใจนี้ไว้ …รอยยิ้มแห่งมิตรภาพของสองพี่น้องบ้านม้า…
Tuesday, November 23, 2004
Monday, November 15, 2004
มอเตอร์เวย์ ~พระอาทิตย์ขึ้นที่บ้านม้า~
อาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2547 ผมออกจากบ้านประมาณหกโมงสิบห้านาที ขณะรถแล่นข้ามถนนศรีนครินทร์เพื่อเข้าสู่มอเตอร์เวย์ ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังขับรถเข้าไปในแดนสนธยา หมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมต้องเปิดไฟรถและชะลอความเร็ว เมื่อเข้าสู่ทางคู่ขนาน ผมเห็นดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือโดมสุเหร่าบ้านม้า สภาพอากาศตอนนั้นทำให้ผมสามารถมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างสบายตา ดวงกลมแดงเรื่อขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของโดม เป็นภาพที่รวมสามองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างงดงาม หอสูงของสุเหร่า โดมสีเขียว และดวงอาทิตย์ลอยเด่นเหนือโดม
วันนี้ผมปั่นจักรยานตามปกติ ผ่านโรงเรียนสุเหร่าทับช้าง ถนนวงแหวนรอบนอก เลียบมอเตอร์เวย์ไปทางทิศตะวันออก ห่างออกไปทางขวามีทางรถไฟตีคู่ไปกับถนน ขบวนรถไฟผ่านมาเป็นระยะๆ เข้าใจว่าเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม (เนื่องในวาระออกจากการถือศีลอด?) มีการกระจายเสียงบทสวดตามสุเหร่าและจุดต่างๆ ด้วยสภาพบรรยากาศที่เป็นอยู่ขณะนั้น ผมพบว่าบทสวดดังกล่าวมีความไพเราะเหมือนกัน
เศษขวดเบียร์ที่ผมพบเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกเก็บกวาดไปแล้ว เหลือแต่เศษแก้วเม็ดเล็กๆที่แทรกอยู่ตามผิวยางมะตอยอันขรุขระ หลังจากปั่นเสร็จตามที่ตั้งใจไว้ ผมจอดจักรยานพิงไว้กับกันชนหน้าของรถแล้วออกวิ่งบนไหล่ทางไปยังสะพานที่อยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นจุดรวมพลของนักปั่นประจำห่างจากรถผมประมาณ 200 เมตร ผมวิ่งไปวิ่งกลับจนถึงเที่ยวที่สาม พอหันตัวกลับที่สะพานเพื่อวิ่งกลับมาที่รถ ผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเหมือนโฉบเข้าไปที่จักรยานผมและวิ่งไต่ขอบถนนมาทางผม เมื่อเข้ามาใกล้ผมเห็นวัยรุ่นผู้ชายอายุประมาณ 15-17 ปี สามคนซ้อนท้ายกันมา ประมาณอีก 7 เมตรจะถึงผม (ซึ่งกำลังวิ่งสวนมา) วัยรุ่นคนหลังสุดได้กางแขนทั้งสองข้างออกและมองมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มๆ เนื่องจากมอเตอร์ไซค์คันนี้วิ่งชิดไหล่ทาง ผมจึงต้องระวังแขนที่ยื่นออกมา ขณะเดียวกันผมก็ยกมือซ้ายขึ้นเสมอไหล่ ถือเป็นการทักทายตอบ เมื่อวิ่งไปถึงรถ ผมคิดว่าสมควรไปได้แล้ว ผมเก็บจักรยานใส่รถและขับไปหาแม่เพื่อเยี่ยมท่านและเอาทุเรียนกวนที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งฝากให้ผม
วัยรุ่นสามคนนั้นอาจเห็นจักรยานเสือหมอบจอดอยู่ เกิดสนใจขึ้นมาจึงโฉบเข้าไปดู แต่การขับมอเตอร์ไซค์ไต่ขอบถนนนี่ออกจะแปลกๆ เพราะไม่ใช่พฤติกรรมปกติของวัยรุ่นผู้ชาย (ที่ซ้อนสาม) จะขี่มอเตอร์ไซค์เช่นนั้นบนถนนที่แทบจะไม่มีรถยนต์เลย ยิ่งอาการกางแขนยิ้มให้ผมตอนที่สวนกันยิ่งแปลกใหญ่ ผมเองก็ไม่ใช่วัยรุ่น คิดว่าแก่กว่าคุณพ่อของเด็กเหล่านี้เสียอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาพยายามจะทำอะไร อาจเป็นเพราะอยู่ในวัยคึกคะนอง แต่สำหรับผมซึ่งถูกกลุ่มอำนาจมืดจ้องเล่นงานตลอดเวลา เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการกลั่นแกล้งกดดันที่ผมและภรรยาเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ได้ !!!
วันนี้ผมปั่นจักรยานตามปกติ ผ่านโรงเรียนสุเหร่าทับช้าง ถนนวงแหวนรอบนอก เลียบมอเตอร์เวย์ไปทางทิศตะวันออก ห่างออกไปทางขวามีทางรถไฟตีคู่ไปกับถนน ขบวนรถไฟผ่านมาเป็นระยะๆ เข้าใจว่าเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม (เนื่องในวาระออกจากการถือศีลอด?) มีการกระจายเสียงบทสวดตามสุเหร่าและจุดต่างๆ ด้วยสภาพบรรยากาศที่เป็นอยู่ขณะนั้น ผมพบว่าบทสวดดังกล่าวมีความไพเราะเหมือนกัน
เศษขวดเบียร์ที่ผมพบเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกเก็บกวาดไปแล้ว เหลือแต่เศษแก้วเม็ดเล็กๆที่แทรกอยู่ตามผิวยางมะตอยอันขรุขระ หลังจากปั่นเสร็จตามที่ตั้งใจไว้ ผมจอดจักรยานพิงไว้กับกันชนหน้าของรถแล้วออกวิ่งบนไหล่ทางไปยังสะพานที่อยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นจุดรวมพลของนักปั่นประจำห่างจากรถผมประมาณ 200 เมตร ผมวิ่งไปวิ่งกลับจนถึงเที่ยวที่สาม พอหันตัวกลับที่สะพานเพื่อวิ่งกลับมาที่รถ ผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเหมือนโฉบเข้าไปที่จักรยานผมและวิ่งไต่ขอบถนนมาทางผม เมื่อเข้ามาใกล้ผมเห็นวัยรุ่นผู้ชายอายุประมาณ 15-17 ปี สามคนซ้อนท้ายกันมา ประมาณอีก 7 เมตรจะถึงผม (ซึ่งกำลังวิ่งสวนมา) วัยรุ่นคนหลังสุดได้กางแขนทั้งสองข้างออกและมองมาที่ผมด้วยใบหน้ายิ้มๆ เนื่องจากมอเตอร์ไซค์คันนี้วิ่งชิดไหล่ทาง ผมจึงต้องระวังแขนที่ยื่นออกมา ขณะเดียวกันผมก็ยกมือซ้ายขึ้นเสมอไหล่ ถือเป็นการทักทายตอบ เมื่อวิ่งไปถึงรถ ผมคิดว่าสมควรไปได้แล้ว ผมเก็บจักรยานใส่รถและขับไปหาแม่เพื่อเยี่ยมท่านและเอาทุเรียนกวนที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งฝากให้ผม
วัยรุ่นสามคนนั้นอาจเห็นจักรยานเสือหมอบจอดอยู่ เกิดสนใจขึ้นมาจึงโฉบเข้าไปดู แต่การขับมอเตอร์ไซค์ไต่ขอบถนนนี่ออกจะแปลกๆ เพราะไม่ใช่พฤติกรรมปกติของวัยรุ่นผู้ชาย (ที่ซ้อนสาม) จะขี่มอเตอร์ไซค์เช่นนั้นบนถนนที่แทบจะไม่มีรถยนต์เลย ยิ่งอาการกางแขนยิ้มให้ผมตอนที่สวนกันยิ่งแปลกใหญ่ ผมเองก็ไม่ใช่วัยรุ่น คิดว่าแก่กว่าคุณพ่อของเด็กเหล่านี้เสียอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาพยายามจะทำอะไร อาจเป็นเพราะอยู่ในวัยคึกคะนอง แต่สำหรับผมซึ่งถูกกลุ่มอำนาจมืดจ้องเล่นงานตลอดเวลา เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการกลั่นแกล้งกดดันที่ผมและภรรยาเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ได้ !!!
Thursday, November 11, 2004
สารพิษ ~มีผลต่อร่างกายอย่างไร~
โดยธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ เมื่อได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายจะมีขบวนการทำลายพิษให้น้อยลงและพยายามขับสารนั้นออก ทางเหงื่อ น้ำนม ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลาย ลมหายใจ แต่หากได้รับสารพิษมากเกินไปจะเกิดการสะสมและเกิดผลเสียหายต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายทั้งในลักษณะเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ดังนี้
1. ผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นทางผ่านของก๊าซไอระเหย ฝุ่นละอองของสารพิษ ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจในส่วนต้น ทำลายเนื้อเยื่อปอด ทำลายความยืดหยุ่นปอด เกิดการแพ้สาร หรือเกิดมะเร็งหากสัมผัสสารอย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
2. ผลต่อผิวหนัง เกิดการระคายเคืองขั้นต้น เกิดการแพ้แสง ทำลายผิวหนังอย่างถาวร เกิดมะเร็งผิวหนัง
3. ผลต่อตา เกิดอาการระคายเคือง แสบตา เยื่อยุตาอักเสบ ตาพร่ามัว น้ำตาไหลและอาจตาบอดได้ถ้ารับสารในปริมาณมาก เช่น เมธานอล
4. ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ขาดออกซิเจนในเลือด มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาท เช่น ตาพร่ามัว กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อสั่น ชัก ขาดความจำกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน และการรับความรู้สึกไม่ปรกติ
5. ผลต่ออวัยวะภายใน
ตับ : แบบเฉียบพลัน (เซลล์ตาย) แบบเรื้อรัง (ตับแข็ง มะเร็ง) สารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น คาร์บอนเตตระคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม
ไต : สารที่เป็นพิษต่อไต เช่น โลหะหนัก คาร์บอนไดซัลไฟด์
เลือด : กระทบต่อระบบการการสร้างเม็ดเลือด (ไขกระดูก) องค์ประกอบของเลือด (เกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว) หรือความสามารถในการขนส่งออกซิเจนของเซลล์เม็ดเลือด สารที่เป็นพิษต่อเลือด เช่น เบนซิน กัมมันตรังสี
ม้าม : สารที่เป็นพิษต่อม้าม เช่น คลอโรฟีน ไนโตรเบนซิน
ระบบสืบพันธ์ ุ: เป็นหมัน อสุจิผิดปกติ มีิอสุจิน้อย ระบบฮอร์โมนทำงานผิดปกติ สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ เช่น โลหะหนักไดออกซิน
เกิดอาการอย่างไร?..เมื่อได้รับสารอันตราย
แบบเฉียบพลัน : เป็นการสัมผัสที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น เช่น หนึ่งนาทีถึงสองสามวัน อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ เกิดผดผื่นคันระคายเคือง ผิวหนังไหม้ อักเสบ ขาดอากาศ หน้ามืด วิงเวียน
แบบเรื้อรัง : เป็นการสัมผัสสารที่ระดับค่อนข้างต่ำในระยะเวลานานตั้งแต่เป็นเดือนถึงเป็นปี อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดความพิการในทารก (Teratogenic) การเกิดความผิดปกติทางสายพันธ์ุในตัวอ่อน หรือการผ่าเหล่า (Uutagenic) การผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของ DNA การเกิดมะเร็ง (Carcinogenic)
ที่มา: คู่มือประชาชน “การระวังภัยจากสารเคมีอันตราย” กรมควบคุมมลพิษ
1. ผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นทางผ่านของก๊าซไอระเหย ฝุ่นละอองของสารพิษ ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจในส่วนต้น ทำลายเนื้อเยื่อปอด ทำลายความยืดหยุ่นปอด เกิดการแพ้สาร หรือเกิดมะเร็งหากสัมผัสสารอย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
2. ผลต่อผิวหนัง เกิดการระคายเคืองขั้นต้น เกิดการแพ้แสง ทำลายผิวหนังอย่างถาวร เกิดมะเร็งผิวหนัง
3. ผลต่อตา เกิดอาการระคายเคือง แสบตา เยื่อยุตาอักเสบ ตาพร่ามัว น้ำตาไหลและอาจตาบอดได้ถ้ารับสารในปริมาณมาก เช่น เมธานอล
4. ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ขาดออกซิเจนในเลือด มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาท เช่น ตาพร่ามัว กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อสั่น ชัก ขาดความจำกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน และการรับความรู้สึกไม่ปรกติ
5. ผลต่ออวัยวะภายใน
ตับ : แบบเฉียบพลัน (เซลล์ตาย) แบบเรื้อรัง (ตับแข็ง มะเร็ง) สารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น คาร์บอนเตตระคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม
ไต : สารที่เป็นพิษต่อไต เช่น โลหะหนัก คาร์บอนไดซัลไฟด์
เลือด : กระทบต่อระบบการการสร้างเม็ดเลือด (ไขกระดูก) องค์ประกอบของเลือด (เกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว) หรือความสามารถในการขนส่งออกซิเจนของเซลล์เม็ดเลือด สารที่เป็นพิษต่อเลือด เช่น เบนซิน กัมมันตรังสี
ม้าม : สารที่เป็นพิษต่อม้าม เช่น คลอโรฟีน ไนโตรเบนซิน
ระบบสืบพันธ์ ุ: เป็นหมัน อสุจิผิดปกติ มีิอสุจิน้อย ระบบฮอร์โมนทำงานผิดปกติ สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธ์ เช่น โลหะหนักไดออกซิน
เกิดอาการอย่างไร?..เมื่อได้รับสารอันตราย
แบบเฉียบพลัน : เป็นการสัมผัสที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น เช่น หนึ่งนาทีถึงสองสามวัน อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ เกิดผดผื่นคันระคายเคือง ผิวหนังไหม้ อักเสบ ขาดอากาศ หน้ามืด วิงเวียน
แบบเรื้อรัง : เป็นการสัมผัสสารที่ระดับค่อนข้างต่ำในระยะเวลานานตั้งแต่เป็นเดือนถึงเป็นปี อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดความพิการในทารก (Teratogenic) การเกิดความผิดปกติทางสายพันธ์ุในตัวอ่อน หรือการผ่าเหล่า (Uutagenic) การผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของ DNA การเกิดมะเร็ง (Carcinogenic)
ที่มา: คู่มือประชาชน “การระวังภัยจากสารเคมีอันตราย” กรมควบคุมมลพิษ
ดูรายละเอียดใน...สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย~
Tuesday, November 09, 2004
มอเตอร์เวย์ ...ขวดเบียร์บนไหล่ทาง...
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ย. 47 ผมไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์ จริงๆแล้วเป็นถนนที่ขนานไปกับมอเตอร์เวย์ แต่เพื่อความสะดวกจึงเรียกสั้นๆเช่นนั้น
ผมออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ขับรถไปตามถนนพระรามเก้า ข้ามถนนศรีนครินทร์ ชิดซ้าย ออกทางคู่ขนาน ตรงไปอีกเล็กน้อยก็ขึ้นสะพานกลับรถ พอลงสะพานมาได้ประมาณ 200 เมตรก็กลับรถเข้าสู่ถนนคู่ขนานข้างมอเตอร์เวย์ ขับผ่านโรงเรียนสุเหร่าบ้านม้าไปไม่ไกล ผมก็จอดรถบนไหล่ถนนตรงกองท่อระบายน้ำ หันหน้ารถไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดเมื่อคราวที่แล้ว
ผมไปถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง แต่ก็มีคนไปถึงก่อนผมบ้างแล้ว ถนนเส้นนี้เหมาะกับการซ้อมปั่นจักรยาน หรือปั่นจักรยานเพื่อออกกำลัง เพราะเป็นเส้นทางที่ยาวโดยไม่มีทางแยกมาตัดขวางเลย ระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร ปั่นหนึ่งรอบก็ 22 กิโลเมตร รถยนต์ทั่วไปมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกและรถพ่วงขนาดใหญ่ที่ใช้ในงานก่อสร้างทางซึ่งจะวิ่งจาก site งานที่ตั้งอยู่บนถนนนี้ไปยังสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งแบบที่เป็นของจริงและการสร้างสถานการณ์ นอกนั้นก็เป็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ที่อาศัยอยู่แถบนั้น
หลังจากประกอบจักรยานเสร็จ ผมเริ่มปั่นออกไปทางทิศตะวันออก ไปได้สัก 1 กิโลเมตร ผมพบขวดเบียร์แตกกระจายเต็มไหล่ทาง (ถนนเส้นนี้มีไหล่ทางกว้างประมาณสองเมตรซึ่งช่วยให้การปั่นจักรยานปลอดภัยเมื่อต้องหลบหลีกพาหนะที่ใหญ่กว่า และผมก็มักจะปั่นบนไหล่ทางเมื่อโอกาสอำนวยด้วย) ผมจอดจักรยานและใช้โฟมที่หาได้แถวนั้นเป็นอุปกรณ์ปัดกวาดเศษขวดเบียร์ลงข้างทาง ผมเสียเวลาปัดกวาดอยู่นานเพราะขวดแตกกระจัดกระจายทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ไปตามไหล่ถนนเป็นทางยาวร่วมสิบเมตร ป้ายฉลากติดเศษแก้วระบุว่าเป็นเบียร์ช้างครับ ผมยังพบบุหรี่ก้นกรองหนึ่งตัวตรงจุดนั้นด้วย บุหรี่ตัวนี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ เพิ่งสูบไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น เหมือนกับถูกโยนทิ้งและปล่อยให้ดับไปเอง กวาดเสร็จผมก็ปั่นต่อ ตลอดเส้นทางผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์บนไหล่ถนนอีกสองจุด จุดสุดท้ายเป็นแก้วสีเขียว และเมื่อผมปั่นเสร็จ ผมปล่อยให้รถไหลช้าๆเข้าข้างทางห่างจากรถผมไปข้างหน้าประมาณเจ็ดเมตร ผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์แตกกระจายบนไหล่ถนนอีก ผมไม่แน่ใจว่าเศษแก้วตรงนี้มีอยู่ก่อนที่ผมจะมาถึงหรือไม่ เพราะตอนเริ่มปั่นจักรยานผมไม่ทันได้สังเกต ถ้ามีอยู่ก่อนแล้วก็นับเป็นโชคดีของผมที่จักรยานหรือรถผมไม่ได้ไปทับ เพราะอาจทำให้ยางรั่วได้ง่ายมาก ในสี่จุดนี้ จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่เป็นขวดเบียร์ช้างซึ่งผมกวาดลงข้างทางไปแล้ว เพราะนอกจากจะมีเศษแก้วกระจัดกระจายมากที่สุดแล้ว ยังมีเศษขวดชิ้นโตๆคมๆหลายชิ้น ผมไม่ได้เก็บกวาดเศษแก้วที่จุดอื่นเพราะจะทำให้เสียเวลามากและไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่จุด ต้องแก้ไขด้วยการขยับออกมาปั่นบนถนนมากขึ้น ซึ่งก็อันตรายอีกเช่นกัน
ลองมาดูข้อชวนสงสัยกันครับ
ประการแรก เหตุใดจึงมีเศษขวดเบียร์ (สันนิษฐานว่าสามจุดที่พบในภายหลังเป็นขวดเบียร์เช่นกัน) แตกกระจายตามไหล่ถนนเป็นระยะๆถึงสี่จุด คำตอบคือ มีความคาดหวังบางอย่าง ดังนั้นเพื่อให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด จะต้องกันเหนียวเอาไว้ จึงต้องมีหลายจุด
ประการที่สอง เศษขวดเบียร์ที่จุดหนึ่งแทบจะเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดรถเมื่อคราวที่แล้ว ถ้าผมขับรถทับไป ยางรถยนต์อาจรั่ว ก็เสียเวลายุ่งยากอีก โชคดีที่ผมจอดก่อนถึงจุดนี้เพียงไม่กี่เมตร (ผมจอดห่างจากที่จอดรถของกลุ่มปั่นประจำประมาณสองร้อยเมตร มีรถผมคันเดียวที่จอดตรงนี้)
ประการที่สาม บริเวณนั้นมีคนอยู่อาศัยเบาบาง มีบ้านอยู่ห่างกันเป็นหลังๆ คนแถบนี้เป็นมุสลิมซึ่งไม่ดื่มของมึนเมา ที่ไม่ใช่มุสลิมก็เป็นคนงานก่อสร้าง (สร้างถนน, ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่) มีบ้านพักคนงานเป็นจุดๆ แต่ละจุดห่างกันมาก ถ้าคนงานจะดื่มเบียร์ เหตุใดจึงต้องไปนั่งดื่มที่ไหล่ถนนสี่จุดนั้น ดื่มที่บ้านพักคนงานไม่สะดวกกว่าหรือ และคนงานคงจะไม่ร่ำรวยขนาดสูบบุหรี่ก้นกรองไปเพียงหนึ่งในสามส่วนแล้วโยนทิ้ง ผมเคยเห็นแต่คนงานสูบบุหรี่จนแดงวาบติดปลายนิ้ว และมักจะไม่ใช่แบบที่มีก้นกรองด้วย
ประการที่สี่ จุดที่พบเศษขวดเบียร์เป็นจุดที่ไม่มีบ้านพักอาศัย ไหล่ถนนที่มีเศษขวดเบียร์กระจายอยู่นั้นติดกับมอเตอร์เวย์ซึ่งมีรั้วลวดตาข่ายกั้น อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นทุ่งโล่ง ลองนึกภาพดูสิครับ ใครจะมานั่งดื่มเบียร์กันตรงนั้น หรือจะคิดว่ามีพวกคึกคะนองขับรถผ่านมา (จริงๆก็ไม่ใช่เส้นทางที่จะมีจิกโก๋หรือนักท่องราตรีขับผ่าน) แล้วโยนขวดเบียร์ออกนอกรถเล่นด้วยความมันส์ แล้วบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปแค่หนึ่งในสามที่หล่นอยู่กับเศษขวดเบียร์ช้างล่ะ อาจมีคนตอบว่าตอนจิกโก๋โยนขวดเบียร์บังเอิญไปปัดโดนบุหรี่ที่คาบอยู่ตรงมุมปากครับ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป
สำหรับผมคิดว่าคนที่ทำขวดเบียร์ช้างแตกกระจายคงต้องรีบทำอะไรบางอย่างอย่างกระทันหัน จึงโยนบุหรี่ทิ้งไปทั้งๆที่เพิ่งสูบไปเพียงนิดเดียว และด้วยเหตุที่รีบจึงไม่สนใจที่จะเหยียบหรือขยี้บุหรี่ให้ดับก่อน จึงไม่มีร่องรอยการบุบสลายของบุหรี่ แต่บุหรี่ก็ดับไปเอง และคนๆนั้นก็ไม่น่าจะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่แถบนั้น และไม่ใช่คนงานทั่วไปด้วย
นอกจากขวดเบียร์ที่เป็นเรื่องใหม่แล้ว เรื่องควันไฟที่ผมพูดไปในหัวข้อ “สารพิษ อาวุธสังหารฯ” นั้นยังมีอยู่เป็นจุดๆ ส่วนใหญ่จะมีตามบ้านพักคนงาน กลิ่นแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนการจุดเตาหุงหาอาหารโดยใช้ฟืนหรือถ่านตามปกติ ที่แย่หน่อยก็ตรงสะพานกลับรถที่ดูเหมือนสร้างเพิ่งเสร็จแต่ยังไม่ได้เปิดใช้ คนงานตรงนั้นจุดไฟกองโตห่างจากไหล่ถนนเพียงหนึ่งเมตร เราปั่นไปถึงพอดีหรือเขาจุดไฟพอดีเราปั่นไปถึงก็ไม่รู้นะ แต่เปลวไฟโชติช่วง ควันโขมงตอนเราปั่นผ่าน ต้องใช้วิชานินจากลั้นหายใจเอา (ฝึกเป็นประจำที่บ้าน)
ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะมีปรากฏการณ์แปลกใหม่อะไรอีก จะมีขวดเบียร์แตกกระจายกลางถนนเลยหรือไม่ เอามันให้สะใจไปเลย มีอำนาจ มีเครือข่ายอยู่ทุกซอกทุกมุม จะต้องไปเกรงใจใครทำไม… สงสารคนที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างเถอะ!!!
ผมออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ขับรถไปตามถนนพระรามเก้า ข้ามถนนศรีนครินทร์ ชิดซ้าย ออกทางคู่ขนาน ตรงไปอีกเล็กน้อยก็ขึ้นสะพานกลับรถ พอลงสะพานมาได้ประมาณ 200 เมตรก็กลับรถเข้าสู่ถนนคู่ขนานข้างมอเตอร์เวย์ ขับผ่านโรงเรียนสุเหร่าบ้านม้าไปไม่ไกล ผมก็จอดรถบนไหล่ถนนตรงกองท่อระบายน้ำ หันหน้ารถไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดเมื่อคราวที่แล้ว
ผมไปถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง แต่ก็มีคนไปถึงก่อนผมบ้างแล้ว ถนนเส้นนี้เหมาะกับการซ้อมปั่นจักรยาน หรือปั่นจักรยานเพื่อออกกำลัง เพราะเป็นเส้นทางที่ยาวโดยไม่มีทางแยกมาตัดขวางเลย ระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร ปั่นหนึ่งรอบก็ 22 กิโลเมตร รถยนต์ทั่วไปมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกและรถพ่วงขนาดใหญ่ที่ใช้ในงานก่อสร้างทางซึ่งจะวิ่งจาก site งานที่ตั้งอยู่บนถนนนี้ไปยังสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งแบบที่เป็นของจริงและการสร้างสถานการณ์ นอกนั้นก็เป็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ที่อาศัยอยู่แถบนั้น
หลังจากประกอบจักรยานเสร็จ ผมเริ่มปั่นออกไปทางทิศตะวันออก ไปได้สัก 1 กิโลเมตร ผมพบขวดเบียร์แตกกระจายเต็มไหล่ทาง (ถนนเส้นนี้มีไหล่ทางกว้างประมาณสองเมตรซึ่งช่วยให้การปั่นจักรยานปลอดภัยเมื่อต้องหลบหลีกพาหนะที่ใหญ่กว่า และผมก็มักจะปั่นบนไหล่ทางเมื่อโอกาสอำนวยด้วย) ผมจอดจักรยานและใช้โฟมที่หาได้แถวนั้นเป็นอุปกรณ์ปัดกวาดเศษขวดเบียร์ลงข้างทาง ผมเสียเวลาปัดกวาดอยู่นานเพราะขวดแตกกระจัดกระจายทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ไปตามไหล่ถนนเป็นทางยาวร่วมสิบเมตร ป้ายฉลากติดเศษแก้วระบุว่าเป็นเบียร์ช้างครับ ผมยังพบบุหรี่ก้นกรองหนึ่งตัวตรงจุดนั้นด้วย บุหรี่ตัวนี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ เพิ่งสูบไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น เหมือนกับถูกโยนทิ้งและปล่อยให้ดับไปเอง กวาดเสร็จผมก็ปั่นต่อ ตลอดเส้นทางผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์บนไหล่ถนนอีกสองจุด จุดสุดท้ายเป็นแก้วสีเขียว และเมื่อผมปั่นเสร็จ ผมปล่อยให้รถไหลช้าๆเข้าข้างทางห่างจากรถผมไปข้างหน้าประมาณเจ็ดเมตร ผมพบเศษแก้วเหมือนเศษขวดเบียร์แตกกระจายบนไหล่ถนนอีก ผมไม่แน่ใจว่าเศษแก้วตรงนี้มีอยู่ก่อนที่ผมจะมาถึงหรือไม่ เพราะตอนเริ่มปั่นจักรยานผมไม่ทันได้สังเกต ถ้ามีอยู่ก่อนแล้วก็นับเป็นโชคดีของผมที่จักรยานหรือรถผมไม่ได้ไปทับ เพราะอาจทำให้ยางรั่วได้ง่ายมาก ในสี่จุดนี้ จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่เป็นขวดเบียร์ช้างซึ่งผมกวาดลงข้างทางไปแล้ว เพราะนอกจากจะมีเศษแก้วกระจัดกระจายมากที่สุดแล้ว ยังมีเศษขวดชิ้นโตๆคมๆหลายชิ้น ผมไม่ได้เก็บกวาดเศษแก้วที่จุดอื่นเพราะจะทำให้เสียเวลามากและไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่จุด ต้องแก้ไขด้วยการขยับออกมาปั่นบนถนนมากขึ้น ซึ่งก็อันตรายอีกเช่นกัน
ลองมาดูข้อชวนสงสัยกันครับ
ประการแรก เหตุใดจึงมีเศษขวดเบียร์ (สันนิษฐานว่าสามจุดที่พบในภายหลังเป็นขวดเบียร์เช่นกัน) แตกกระจายตามไหล่ถนนเป็นระยะๆถึงสี่จุด คำตอบคือ มีความคาดหวังบางอย่าง ดังนั้นเพื่อให้มีความเป็นไปได้มากที่สุด จะต้องกันเหนียวเอาไว้ จึงต้องมีหลายจุด
ประการที่สอง เศษขวดเบียร์ที่จุดหนึ่งแทบจะเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมจอดรถเมื่อคราวที่แล้ว ถ้าผมขับรถทับไป ยางรถยนต์อาจรั่ว ก็เสียเวลายุ่งยากอีก โชคดีที่ผมจอดก่อนถึงจุดนี้เพียงไม่กี่เมตร (ผมจอดห่างจากที่จอดรถของกลุ่มปั่นประจำประมาณสองร้อยเมตร มีรถผมคันเดียวที่จอดตรงนี้)
ประการที่สาม บริเวณนั้นมีคนอยู่อาศัยเบาบาง มีบ้านอยู่ห่างกันเป็นหลังๆ คนแถบนี้เป็นมุสลิมซึ่งไม่ดื่มของมึนเมา ที่ไม่ใช่มุสลิมก็เป็นคนงานก่อสร้าง (สร้างถนน, ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่) มีบ้านพักคนงานเป็นจุดๆ แต่ละจุดห่างกันมาก ถ้าคนงานจะดื่มเบียร์ เหตุใดจึงต้องไปนั่งดื่มที่ไหล่ถนนสี่จุดนั้น ดื่มที่บ้านพักคนงานไม่สะดวกกว่าหรือ และคนงานคงจะไม่ร่ำรวยขนาดสูบบุหรี่ก้นกรองไปเพียงหนึ่งในสามส่วนแล้วโยนทิ้ง ผมเคยเห็นแต่คนงานสูบบุหรี่จนแดงวาบติดปลายนิ้ว และมักจะไม่ใช่แบบที่มีก้นกรองด้วย
ประการที่สี่ จุดที่พบเศษขวดเบียร์เป็นจุดที่ไม่มีบ้านพักอาศัย ไหล่ถนนที่มีเศษขวดเบียร์กระจายอยู่นั้นติดกับมอเตอร์เวย์ซึ่งมีรั้วลวดตาข่ายกั้น อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นทุ่งโล่ง ลองนึกภาพดูสิครับ ใครจะมานั่งดื่มเบียร์กันตรงนั้น หรือจะคิดว่ามีพวกคึกคะนองขับรถผ่านมา (จริงๆก็ไม่ใช่เส้นทางที่จะมีจิกโก๋หรือนักท่องราตรีขับผ่าน) แล้วโยนขวดเบียร์ออกนอกรถเล่นด้วยความมันส์ แล้วบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปแค่หนึ่งในสามที่หล่นอยู่กับเศษขวดเบียร์ช้างล่ะ อาจมีคนตอบว่าตอนจิกโก๋โยนขวดเบียร์บังเอิญไปปัดโดนบุหรี่ที่คาบอยู่ตรงมุมปากครับ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป
สำหรับผมคิดว่าคนที่ทำขวดเบียร์ช้างแตกกระจายคงต้องรีบทำอะไรบางอย่างอย่างกระทันหัน จึงโยนบุหรี่ทิ้งไปทั้งๆที่เพิ่งสูบไปเพียงนิดเดียว และด้วยเหตุที่รีบจึงไม่สนใจที่จะเหยียบหรือขยี้บุหรี่ให้ดับก่อน จึงไม่มีร่องรอยการบุบสลายของบุหรี่ แต่บุหรี่ก็ดับไปเอง และคนๆนั้นก็ไม่น่าจะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่แถบนั้น และไม่ใช่คนงานทั่วไปด้วย
นอกจากขวดเบียร์ที่เป็นเรื่องใหม่แล้ว เรื่องควันไฟที่ผมพูดไปในหัวข้อ “สารพิษ อาวุธสังหารฯ” นั้นยังมีอยู่เป็นจุดๆ ส่วนใหญ่จะมีตามบ้านพักคนงาน กลิ่นแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนการจุดเตาหุงหาอาหารโดยใช้ฟืนหรือถ่านตามปกติ ที่แย่หน่อยก็ตรงสะพานกลับรถที่ดูเหมือนสร้างเพิ่งเสร็จแต่ยังไม่ได้เปิดใช้ คนงานตรงนั้นจุดไฟกองโตห่างจากไหล่ถนนเพียงหนึ่งเมตร เราปั่นไปถึงพอดีหรือเขาจุดไฟพอดีเราปั่นไปถึงก็ไม่รู้นะ แต่เปลวไฟโชติช่วง ควันโขมงตอนเราปั่นผ่าน ต้องใช้วิชานินจากลั้นหายใจเอา (ฝึกเป็นประจำที่บ้าน)
ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะมีปรากฏการณ์แปลกใหม่อะไรอีก จะมีขวดเบียร์แตกกระจายกลางถนนเลยหรือไม่ เอามันให้สะใจไปเลย มีอำนาจ มีเครือข่ายอยู่ทุกซอกทุกมุม จะต้องไปเกรงใจใครทำไม… สงสารคนที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างเถอะ!!!
Subscribe to:
Comments (Atom)