Friday, October 29, 2004

...หมาประจำซอย!


ระยะนี้ สัปดาห์หนึ่งผมจะไปว่ายน้ำออกกำลัง 2-3 ครั้ง โดยเดินจากบ้านไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามซอยประมาณ 20 กว่านาที ก็จะถึงสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ในสปอร์ตคลับแบบเปิด (ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิก) เช้าวันหนึ่ง ระหว่างทางเดินกลับหลังจากว่ายน้ำเสร็จ แม่ค้าขายอาหารข้างถนนใกล้สปอร์ตคลับในซอยที่ผมเดินผ่านประจำเดินสวนทางมาและร้องเรียกเสียงดังว่า “หมา หมา หมา หมา” ในมือถือถุงนมหนึ่งถุง ผมเลยพูดไปว่า “แถวนี้หมาเยอะนะ” แม่ค้าตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่มองหน้าว่า “มีอยู่ตัวเดียว หมาประจำซอย” ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ในใจก็คิดว่า “ก้อเราเห็นหมาในซอยนี้ตั้งหลายตัวนี่นา”

สัปดาห์ต่อมา ผมเดินมาว่ายน้ำอีก พอมาถึงหน้าร้านซึ่งทั้งตัวร้านและโต๊ะเก้าอี้ล้วนวางอยู่บนไหล่ถนนจนไม่มีทางเดิน ผมแวะบอกเธอว่า “หมาประจำซอยน่ะ มีหลายตัวนะ ไม่ได้มีตัวเดียว”…

การข่มขู่ให้กลัว


การข่มขู่ที่เราเผชิญมามีหลายรูปแบบ ที่พอจะสรุปได้อย่างเป็นรูปธรรมส่วนหนึ่งมีดังนี้

(1) ให้ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองพูดข่มขู่ซึ่งบางครั้งก็เป็นการกระทำซึ่งหน้า เช่น ขู่ว่าจะปาระเบิดใส่บ้าน จะเผาบ้าน จะดักปาดคอที่ปากซอย นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์เข้ามาพูดข่มขู่ ซึ่งจำเสียงได้ว่าเป็นกรรมการคนหนึ่งในชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะข้างบ้านเราเอง และเราได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว
(2) ข่มขู่ด้วยการลักลอบเข้ามาในบ้านยามวิกาลและกระทำการบางอย่างไว้ให้เห็นเพื่อให้หวาดกลัว เช่น ใช้ของมีคมกรีดตัดใบไม้ให้เห็นชัดๆ และมีหลายครั้งหลายหนในเวลาใกล้ๆกัน มีการกรีดเชือกไนล่อน ที่ใช้เป็นราวตากผ้าให้ใกล้ขาด เมื่อเอาผ้ามาตาก ความหนักของเสื้อผ้าจะทำให้เชือกขาด (เชือกในล่อนขนาดเกือบเท่าปลายนิ้วก้อยและมีสภาพใหม่)
เหตุการณ์ที่ถือว่าอุกอาจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ เมื่อถึงเที่ยงคืน ได้มีการจุดประทัดและระเบิดต่อเนื่องหลายสิบลูกในบริเวณที่พักตำรวจติดกับรั้วด้านทิศใต้ของบ้าน เสียงระเบิดดังกึกก้องอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำกันในเขตที่พักของตำรวจ หลังเสียงระเบิดหายไปสักพัก ได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านตะกุยประตูห้องใต้ถุนบ้านด้วยความหวาดกลัว จึงลงไปดู และพบว่าสุนัขที่เลี้ยงไว้สองตัว หายไปหนึ่งตัว พยายามตามหาบริเวณใกล้บ้านอยู่นานหลายวัน แต่ก็ไม่พบ
(3) ข่มขู่ด้วยเสียงระเบิดใกล้บ้าน กรณีนี้เป็นการข่มขู่มากกว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ เพราะเป็นเสียงระเบิดที่ดังมากและเกิดในจุดที่อยู่ติดบ้านของเรา เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งในวันขึ้นปีใหม่และวันเฉลิมฯ หรือแม้แต่วันธรรมดาทั่วไปที่พวกนี้นึกอยากจะทำ เป็นเรื่องแปลกที่สิ่งนี้เกิดขึ้นในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของอาคารที่พักตำรวจ เราร้องเรียนมาตลอด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยจริงจังกับปัญหานี้
(4) ข่มขู่ด้วยการขว้างของแข็งและสิ่งต่างๆข้ามาในบ้าน บางครั้งก็เกิดในเวลากลางคืน บางครั้งก็เกิดในเวลากลางวันแสกๆ เช่น มีการปาขวดน้ำปลา 2 ขวดใหญ่ เข้ามาในบ้าน เศษแก้วแตกกระจาย น้ำปลาหกเรี่ยราดเหม็นไปทั่ว ขว้างปารองเท้าแตะ งูเขียวหางไหม้ (ถูกทุบหัวแล้วแต่ยังไม่ตาย) และขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังจำพวกกระทิงแดง (กระแทกตัวบ้านแตกกระจาย) เข้ามาในบ้าน

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

รูปแบบการกดดัน

การกลั่นแกล้งกดดันที่กระทำต่อเรามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 พอสรุปได้ 4 วิธี คือ

วิธีที่หนึ่ง เน้นด้านจิตวิทยา
ด้วยการพยายามให้คนรอบข้างและสังคมต่อต้านเพื่อโดดเดี่ยวและก่อกวนไม่ให้ชีวิตมีความสุขในทุกที่ทุกโอกาส ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน กลางวันหรือกลางคืน พวกนี้จะทำตัวเหมือนลิงที่เกาะแน่นอยู่บนหลังของคุณ เป็นการกดดันเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าไม่มีที่ใดในเมืองไทยที่เราจะสามารถอยู่ได้ เหมือนดั่งวลีอมตะที่พวกเขาชอบใช้ข่มขู่ผู้อื่นจนชินปากว่า “ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ !”
สำหรับกลั่นแกล้งกดดันที่บ้านนั้น ตอนนี้จะขอพูดถึงเฉพาะบ้านที่อยู่ในปัจจุบันซึ่งเราย้ายกลับมาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อต้นปี 45 ที่นี่มีการใช้ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองใกล้บ้านเป็นหลักในการก่อกวนทุกรูปแบบ มีการข่มขู่ให้กลัวด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โทรศัพท์ข่มขู่ พูดข่มขู่ซึ่งหน้า ดูหมิ่นด่าทอ ใช้ของแข็งขว้างตัวบ้านและกระจกหน้าต่าง ปีนเข้ามาขโมยของและทำลายทรัพย์สินในบ้าน จุดระเบิดข่มขวัญ เป็นต้น พยายามให้ปัญหาระหว่างเรากับผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองกลุ่มที่เคยอยู่ติดรั้วบ้านของเรา บานปลายกลายเป็นปัญหากับผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองทั้งหมด โดยทำให้คนเหล่านี้เข้าใจว่าเราจะทำให้พวกเขาต้องถูกไล่รื้อถอนอาคารด้วย ทำให้คนอื่นๆช่วยกันกดดันกลั่นแกล้งเราโดยอัตโนมัติ ผู้นำชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองคนหนึ่งถึงกับโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ซึ่งเราได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว
ในช่วงที่มีการรื้อถอนอาคารผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองส่วนที่อยู่ติดกับบ้านเราซึ่งเป็นกลุ่มที่กลั่นแกล้งกดดันเราหนักมาก ผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองรายหนึ่งซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการกดดันเราที่จุดนี้ได้ปลุกระดมผู้บุกรุกที่สาธารณะรายอื่นๆจนเกิดเป็นม็อบย่อยๆมารุมด่าทอและพยายามทำลายประตูรั้วบ้านที่เราใช้เข้าออกทางด้านริมคลองจนได้รับความเสียหาย ต่อมาพี่ชายฝาแฝดของหัวโจกได้ใช้ของแข็งขว้างกระจกหน้าต่างบ้านแตก และยังได้ข่มขู่จะทำร้ายร่างกาย ซึ่งเราได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แต่คดีไม่มีความคืบหน้า

วิธีที่สอง กดดันด้วยการทำลายสุขภาพ
โดยใช้ควันไฟ กลิ่นขยะ และกลิ่นสารเคมีชนิดต่างๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นการทำร้ายแบบเงียบๆแต่ส่งผลรุนแรง นับเป็นการบ่อนทำลายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในระยะปัจจุบันจะใช้วิธีนี้เป็นหลัก ซึ่งการก่อกวนวิธีนี้จะมาจากทุกทิศทางรอบบ้าน
การใช้กลิ่นสารต่างๆรบกวนทำให้เราต้องปิดประตูหน้าต่างด้านริมคลองและด้านข้างทั้งหมดเกือบตลอดเวลา จะเปิดบ้างก็เพื่อระบายอากาศเมื่อมีโอกาสเท่านั้น และเปิดหน้าต่างด้านที่มีการรบกวนน้อยกว่าไว้ แต่ก็ต้องคอยระวัง บางครั้งต้องเปิดพัดลมถึงสี่เครื่องพร้อมกันเพื่อไล่กลิ่นควันและสารต่างๆที่เข้ามา ช่วงใดที่พวกนี้ต้องการกดดันเราหนักๆจะมีการระดมรมควันและสารเคมีจากทุกทิศทางทั้งคืน บางครั้ง 3-4 คืนติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการใช้กลิ่นควันและสารเคมีรมเราตอนกลางคืนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากคืนใดเราได้อากาศบริสุทธิ์ นั่นจึงเป็นเรื่องผิดปกติ
การกดดันด้วยควันไฟ กลิ่นขยะและสารเคมีต่างๆ หากดูเผินๆอาจคิดว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง แต่สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง และกลิ่นขยะที่เต็มไปด้วยแบคทีเรีย เมื่อร่างกายต้องรับสารนี้เข้าไปทุกวันๆ ถึงแม้จะปริมาณไม่มาก แต่การรับสารนี้เข้าไปอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ในระยะสั้น ร่างกายจะอ่อนเพลียอยู่เสมอ ไม่สบาย เจ็บป่วยง่าย มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ ผิวหนังแสบร้อนระคายเคือง เป็นการกดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนในระยะยาวก็สามารถเล็งเห็นผลได้ว่าจะเป็นอย่างไร หากเราต้องล้มเจ็บด้วยโรคร้ายเพราะกระทำเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับฆาตกรรม นับเป็นความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

วิธีที่สาม การกดดันทางด้านเศรษฐกิจ
เป็นการทำลายความสามารถทางการเงินของเราทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เมื่อเริ่มค้นหาความจริงเรื่องการตายของพี่ชาย เราก็ถูกกดดันทางเศรษฐกิจมาตลอดโดยเริ่มจากต้นปี 2538 คนเช่าบ้านบอกเลิกสัญญาเช่า 3 ปีกระทันหัน ทั้งๆที่เพิ่งทำสัญญาเช่าได้ไม่กี่เดือน  โชคยังดีที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

วิธีที่สี่ ทำลายหรือลดความน่าเชื่อถือ
โดยการปล่อยข่าว ใส่ร้ายป้ายสีเรา สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขวและใช้เป็นข้ออ้างบังหน้าในการร่วมกันกดดันเรา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมายที่จะปล่อยข่าวหรือป้ายสีด้วย คิดว่าเรื่องหลักที่ใช้ในการป้ายสีเพื่อให้ง่ายต่อการดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมประเภท “ร่วมด้วยช่วยกัน” คืออะไร ทุกคนคงจะทราบดี นอกจากนี้ยังใช้วิธีการยั่วยุให้โกรธเพื่อที่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาท แล้วเอาไปปล่อยข่าวป้ายสีเรา บ่อยครั้งที่พวกนี้ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการก่อกวน โดยบางครั้งถึงกับให้เด็กด่าว่าเราอย่างหยาบคายเพื่อยั่วให้มีปัญหากับเด็ก ซึ่งจะใช้เป็นจุดในการป้ายสีได้เป็นอย่างดี


สิ่งหนึ่งที่พวกนี้พยายามทำอยู่ตอนนี้คือ พยายามให้เรื่องราวออกมาในลักษณะที่ว่าสภาพปัญหาต่างๆที่เป็นอยู่ เป็นเพราะเรามีเรื่องส่วนตัวกับคนทั่วไป ไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้มีอิทธิพลอย่างที่เรากล่าวอ้าง...

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...

Thursday, October 28, 2004

ความเป็นมา


        เหตุการณ์สำคัญของเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อดิฉัน ภัทรา จิตรปฏิมา อายุย่างเข้า 40 ปี

        วันที่ 1 มกราคม 2538 ดิฉันทราบเรื่องการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพี่ชายคนเดียวของดิฉันขณะที่ดิฉันและสามีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ดิฉันสงสัยว่าพี่ชายถูกวางยาพิษจึงเดินทางกลับประเทศไทย 3 วัน เพื่อแจ้งความเรื่องการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติของพี่ชายที่กองปราบปรามเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2538 ตอนแรกคดีทำท่าจะดำเนินไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่ต่อมาดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดชะงัก ทำให้ดิฉันตระหนักว่าคดีนี้เป็นคดีอิทธิพลที่มีความสลับซับซ้อน จนกระทั่งคดีไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสะดุดลงที่ผลการชันสูตรศพที่มีข้อน่าสงสัยหลายประการ

        ตั้งแต่เริ่มจำความได้ดิฉันมักได้ยินแม่พูดเรื่องดิฉันมีที่ดินในซอยเอกมัย  ที่ดินแปลงนี้พ่อใช้ปลูกบ้านที่แม่อยู่กับดิฉันและพี่ชายตอนเด็กๆ ตัวพ่อเองไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่วนพี่ชายของดิฉันมีที่ดินในซอยสุขุมวิท 50 ตอนเล็กๆดิฉันได้ยินแม่พูดเรื่องที่ดินพวกนี้บ่อยแต่ดิฉันไม่ได้สนใจอะไรเพราะความเป็นเด็ก ต่อมาเมื่อดิฉันอายุครบ 20 ปี คุณปู่ซึ่งเป็นอดีตนายช่างรังวัดของกรมที่ดิน ถามว่าโฉนดที่ดินของดิฉันอยู่กับใคร เมื่อดิฉันบอกว่าไม่ทราบ คุณปู่ก็เขียนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ให้ ทั้งเลขที่โฉนด เลขที่ดิน ระวางที่ดิน ฯลฯ คุณปู่ยังจำได้ทุกอย่าง คุณปู่บอกด้วยว่าที่ดินของดิฉันแปลงนี้พ่อวางเงินมัดจำจองไว้แล้วคุณปู่ออกเงินซื้อทั้งหมด (ตอนซื้อที่แปลงนี้ดิฉันอายุเพียงสองขวบ) ซึ่งคุณย่าพอใจมาก ต่อมาดิฉันถามแม่เรื่องโฉนดที่ดิน แม่บอกว่าพ่อให้แม่เป็นคนเก็บโฉนดที่ดินไว้

        นอกจากนี้คุณปู่ ยังใส่ชื่อพี่ชายของดิฉันตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับอาอีกสองคนตรงสี่แยกบ้านแขก ซึ่งทำเป็นห้องแถวให้เช่า หลังจากคุณปู่คุณย่าเสียชีวิตไปแล้ว อาคนหนึ่งบอกให้พี่ชายของดิฉันทำหนังสือรับรองให้อาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ดินแปลงนี้แลกกับรายได้ประจำเดือน เป็นเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2533 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2537 แต่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2537 พี่ชายดิฉันก็ล้มเจ็บกระทันหันด้วยอาการของคนที่ได้รับสารพิษชนิดหนึ่งและสิ้นใจในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่โดยไม่มีหมอมารักษาเลย มีพยาบาลให้น้ำเกลือเท่านั้น

        ดิฉัน เริ่มการศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนสมถวิล (พระโขนง) พอถึงชั้นประถมหกก็ไปอยู่โรงเรียนศรีวิกรม์ หลังจากพ่อแม่ของดิฉันหย่ากันแล้วดิฉันเข้าเรียนต่อชั้นประถมเจ็ดที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ดิฉันเรียนที่นี่จนจบชั้น ม.ศ.5  ปี 2517 ดิฉันเข้าศึกษาปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และได้พบกับสามีซึ่งเป็นที่พึ่งให้ดิฉันมาจนทุกวันนี้ เราเรียนคณะเดียวกัน ชั้นปีเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน ตอนนั้นดิฉันอายุย่าง 19 ปี

        พ.ศ. 2533 หลังจากทำงานมาเกือบ 12 ปี สามีของดิฉันลาออกจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปี 2534 เราเดินทางไปใช้ชีวิตที่ประเทศแคนาดา 3 ปี สามีไปศึกษาต่อด้านคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น แต่ตอนหลังสามีจะต้องย้ายไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี  ตอนนั้นคิดว่าจะทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯจากแคนาดาเพื่อความสะดวกในการขนย้ายและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่สถานกงสุลสหรัฐฯที่นั่นให้เรากลับมาทำวีซ่าที่เมืองไทย กลางปี 2537 เราจึงต้องกลับเมืองไทยกระทันหันเพื่อทำวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ดิฉันคิดว่าอาจต้องใช้หลักทรัพย์ประกอบการขอวีซ่า จึงไปขอโฉนดที่ดินเอกมัยที่ดิฉันฝากแม่ไว้ และพบว่ามีชื่อของน้องชายต่างบิดาถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยโดยที่ดิฉันไม่ทราบมาก่อน หลายปีก่อนที่ดิฉันจะไปเมืองนอกแม่ขอแบ่งซื้อที่ดินของดิฉัน100 ตร.วา โดยใส่ชื่อน้องสาวต่างบิดาไว้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อีกคนร่วมกับดิฉัน แต่มีอุปสรรคบางอย่างซึ่งไม่ได้เกิดจากดิฉันทำให้เวลานั้นยังไม่ได้แยกโฉนด กลับมาคราวนี้ดิฉันจึงขอแยกโฉนดทันทีและต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะทำสำเร็จ

        ดิฉันมีเวลาอยู่เมืองไทยแค่เดือนเดียวก็ต้องเดินทางต่อไปสหรัฐอเมริกา ได้พูดโทรศัพท์กับพี่ชายซึ่งอยู่ที่ลพบุรีหนเดียวเท่านั้น และไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายของเรา พี่ชายของดิฉันเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คอยช่วยเหลือดิฉันตอนเด็กๆเสมอ เขาเป็นคนสู้ชีวิตและรักลูกมาก

        กลางปี 2539 หลังจากที่สามีจบการศึกษา เราเดินทางกลับประเทศไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ถูกกดดันกลั่นแกล้ง สารพัดต่อเนื่องมาตลอด ทั้งจากหน่วยงานของรัฐและคนในเครือข่ายอุปถัมภ์ของผู้มีอิทธิพลระดับสูง และด้วยความร่วมมือของกลุ่มผลประโยชน์ที่อิงอยู่กับเครือข่ายนี้ เราตอบโต้ด้วยการร้องเรียนหน่วยงานราชการต่างๆอย่างต่อเนื่อง จนเรื่องชักจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ การกดดันก็เปลี่ยนแปลงแยบยลมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อจัดการเราตรงๆไม่ถนัด ก็ใช้วิธีการ ใส่ร้าย ป้ายสี กดดันทุกรูปแบบในทุกที่ทุกโอกาส ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน เพื่อบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าเราขาดสติ ก็อาจพลาดท่าเสียทีได้ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราตามที่เล่ามานี้ ก็ใช้เวลาเรียนรู้จากการถูกกระทำอยู่นาน ดิฉันรู้จากเพื่อนว่ามีการใช้อิทธิพลสั่งการเพื่อทำให้ดิฉันบ้าตายไปเลย ให้ดิฉันทำลายตัวเอง เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง มิเช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้มีอันเป็นไปเงียบๆ หรือถูกกลั่นแกล้งกดดันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โชคดีที่เราไม่มีลูก หาไม่แล้วลูกของเราต้องตกเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขาอย่างแน่นอน

        ดิฉันจัดการเผาศพพี่ชายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2542 ด้วยความหวังว่าจะยุติปัญหาทั้งปวงได้ และพี่ชายจะได้ไปสู่สุขคติเสียที ตอนแรกดิฉันคิดว่าหลังเผาศพพี่แล้วจะไปถอนแจ้งความ แต่เรากลับถูกกดดันต่อเนื่อง เลยคิดว่าการถอนแจ้งความจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวดิฉันมากกว่า

        อิทธิพลมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ ทำให้พี่ชายของดิฉันถูกฆาตกรรมอย่างอำมหิตและเลือดเย็นได้ง่ายๆอย่างนี้เอง ใครเรียกร้องความเป็นธรรมก็จะถูกกดดันหนัก แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ดิฉันเชื่อว่า ในที่สุดกรรมจะทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา


มุมมองของภัทรา

Monday, October 25, 2004

สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย ~

เมื่อวานไปปั่นจักรยานที่มอเตอร์เวย์ มีการจุดไฟเผาขยะเป็นจุดๆตลอดเส้นทาง ไม่รู้ว่าปกติจุดไฟกันมากอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเพิ่งไปปั่นเป็นครั้งแรก มีอยู่จุดหนึ่งไม่รู้เผาอะไร ไม่เห็นควัน แต่พอได้กลิ่น ร่างกายแทบหยุดทำงาน แน่นปอด 


เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2547 ดูข่าวทีวี คนงานลงไปในห้องอบเมล็ดข้าวที่โรงสีข้าวแห่งหนึ่งแล้วเป็นลมหมดสติ เพื่อนๆพากันลงไปช่วย แล้วทุกคนก็เป็นลมหมดสติตามไปด้วย ตอนนี้คนงานเหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว 6 คน จากการตรวจสอบพบว่าในห้องดังกล่าวมีกาซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงกว่ามาตรฐานมาก ดูข่าวนี้แล้วทำให้นึกถึงสภาพที่เราโดนรมควันและสารเคมีอยู่ทุกวันทุกคืน หลายคืนที่ตื่นขึ้นมาเพลียมาก อันตรายมากๆ … 

ดูรายละเอียดใน...ความเป็นมา...