Tuesday, June 21, 2005

จาก 14 ตุลาฯ ถึง ปัจจุบัน จิตสำนึกเผด็จการยังไม่จางหาย


กล่าวกันว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้เรามีประชาธิปไตย เราขับไล่เผด็จการทหาร คนกลุ่มหนึ่งถูกเรียกว่าทรราช 32 ปีผ่านไป ผมพบว่าจิตสำนึกเผด็จการยังคงวนเวียนอยู่กับคนไทยจำนวนมาก ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญ คนเหล่านั้นเป็น พลเรือน หรือว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เป็นแค่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ?

ดูกรณีรับน้องใหม่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆจำนวนมาก รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหลายแห่งจัดพิธีรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงหรือไม่ก็บังคับให้กระทำการอย่างวิตถาร เช่น บังคับน้องใหม่ชายให้เปลื้องผ้าแล้วลากไปตามพื้นคอนกรีต ให้เปลื้องผ้าคลานลุยไปตามโคลน รับน้องแบบมาราธอนหลายวันหลายคืนจนต้องหามส่งโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนมาก บังคับให้น้องใหม่กินน้ำกะปิ ให้น้องใหม่ชายสำเร็จความใคร่ ให้น้องใหม่หญิงแสดงท่าในลักษณะร่วมเพศกับน้องใหม่ชาย ให้น้องใหม่หญิงเต้นรูดเสาแบบผู้หญิงตามบาร์แล้วให้น้องใหม่ชายทำตัวเป็นเสา ตลอดจนบังคับกดดันด้วยข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามใช้มือถือ ฯลฯ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและในคณะที่นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดแบบนั้น และหลายๆแห่งผู้ร้องเรียนยืนยันว่ามีอาจารย์รับรู้เรื่องเหล่านั้น และทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วประเทศ ได้มีการดำเนินการสอบสวนในหลายสถาบัน แต่กลับมีบางสถาบันที่รุ่นพี่ยังคงรับน้องใหม่ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป

ผมมองว่านี่คือผลพวงของจิตสำนึกแบบเผด็จการ ความต้องการที่จะมีอำนาจและแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นด้วยการบีบบังคับให้ยอมตาม มันอาจเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์ และเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งไม่พัฒนาจิตใจ ความเป็นเผด็จการก็จะปรากฏออกมาในรูปแบบต่างๆ

นอกจากเรื่องรับน้องใหม่ข้างต้นแล้ว ผมยังเห็นถึงภาพสะท้อนทัศนะคติของคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ (คิดว่า) เปลี่ยนแปลงไป คงจำโฆษณาทางโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกันได้ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งถามนักศึกษาสาวว่าทำนี่ได้ไหม ทำนั่นได้ไหม และจบลงที่คำถาม “ชงกาแฟได้ไหม ?” ความจริงใครจะชงกาแฟให้ใครเพราะชอบพอนับถือเป็นส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ถ้าพูดกันเหมือนกับว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการจะรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานแล้ว มันจะมากไปหรือเปล่า ในทางปฏิบัติ ที่ทำงานบางแห่งอาจมีวัฒนธรรมการใช้พนักงานใหม่หรือลูกน้องชงกาแฟให้ก็เป็นได้ (ผมไม่ได้หมายถึงการให้เลขาหรือแม่บ้านชงให้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ) แต่เมื่อนำมาทำเป็นโฆษณาที่มีคนดูนับล้านแบบนี้ ทำให้สงสัยว่านี่เป็นมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยไปแล้วหรือ ?

การเคารพและให้เกียรติผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เท่าเทียมกันในสังคมทุกวันนี้เหลืออยู่สักเพียงใด ? หรือเหลือแต่สังคมพวกพ้องและผลประโยชน์ จนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว กระบวนการคัดสรรคนเข้ากลุ่มด้วยวิธีการต่างๆในสังคมไทยปัจจุบันดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไม่มีพวกพ้องก็อยู่ลำบาก จะเข้าเป็นพวกพ้องก็มักต้องผ่านเงื่อนไขที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ระดับหนึ่งก่อน ถ้าอยากเป็นคนดีของสังคม (ของพวกเขา) เขาบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกบีบให้อยู่ในสังคมนั้นไม่ได้

จิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ความรุนแรงและบีบบังคับผู้อื่นให้ทำตามความพอใจของตน ไม่ได้แตกต่างจากจิตสำนึกเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในคนรุ่นเก่าหรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่หลายๆคนแต่อย่างใด และยิ่งไม่ต่างจากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเผด็จการในอดีต มันเป็นความคิดชุดเดียวกัน จิตสำนึกแบบนี้หรือเปล่าที่เอื้ออำนวยให้อำนาจมืดมีเครือข่ายครอบงำสังคมไทยทุกระดับทุกวงการอย่างทุกวันนี้

Tuesday, June 07, 2005

กฎของสังคม... เครื่องมือของอำนาจมืด !

กฎของสังคม กฎของสังคม กฎของสังคม
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ!

มันคืออะไรกันแน่ รูปธรรมที่ชัดเจนเป็นอย่างไร ใครบัญญัติไว้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าบ้านเมืองเราไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อมีแปกันแล้ว ?

มันคือมาตรการเสริมเพื่อให้สังคมดีขึ้น ?
มันคือกฎหมู่ กฎพวกมากลากไป ?
มันคือศาลเตี้ย ?
มันคือช่องทางจัดการพวกหัวแข็ง ?
มันคือมาตรการที่ใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม ?
มันคือกฎที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และอิสระภาพของปัจเจกบุคคล ?
มันคือข้ออ้างในการใช้อำนาจนอกระบบของคนที่ต้องการจะควบคุมสังคม ?
มันคือคำสวยหรู ที่ใช้อ้างความชอบธรรมในการกดหัวและทำลายคนอื่น ?
มันคือเครื่องมือปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้อง ?
มันคือเครื่องมือของอำนาจมืดที่ทับซ้อนอำนาจรัฐ ?
มันคืออะไร ?

ในทางปฏิบัติ
คำคำนี้ถูกนำมาใช้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการล่วงละเมิดผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถใช้อ้างทำลายผู้อื่นอย่างเป็นระบบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิอยู่เหนือกฎหมาย ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการรมสารพิษสารพัดชนิด ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิก่อกวนกลั่นแกล้งผู้อื่นทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้มีชีวิตที่สุขสงบ ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลเพื่อสร้างสถานการณ์ข่มขู่ให้หวาดกลัว ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิใส่ร้ายป้ายสีทำลายความน่าเชื่อถือของผู้อื่น ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิในการจัดการกับคนที่ไม่ก้มหัวให้กับพวกตน ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นอย่างไร้คุณธรรม ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำต่อผู้อื่นโดยไม่ต้องสนใจกฎหมายบ้านเมือง ?
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิกระทำเลวร้ายต่อผู้อื่นอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้แยบยล แนบเนียน พูดไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ ? 


มันหัวแข็ง มันรู้ทัน  มันไม่ยอมก้มหัวให้ กลัวว่ามันจะเป็นตัวแพร่เชื้อหัวแข็ง กลัวว่ามันจะทำให้ กระบวนการควบคุมสังคมซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของพวกตน ต้องสั่นคลอน จึงต้องหาทางทำลายมัน !  

คนจำนวนมาก เพื่อเอาตัวรอด ทำตัวกลืนไปกับคำคำนี้ ป้ายสีกันมาอย่างไรก็ขานรับกันไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หลายคนรู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น กลับไม่สนใจ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ซึ่งเท่ากับเอื้ออำนวยให้ระบบนี้เบ่งบาน 


หมายเหตุ

เมื่อเร็วๆนี้ผมไปค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆ พบข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันที่ 12 เม.ย. 2542 หน้า 9 เป็นบทความเกี่ยวกับนักเขียนผู้หนึ่ง ที่คอลัมน์ขวาสุดของหน้านี้ เธอตอบคำถามที่ว่าทำไมเธอจึงไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตราชการของเธอซึ่งเป็นเรื่องที่เธอรู้ดีที่สุด โดยพูดถึงนักเขียนอีกคนหนึ่งที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับส่วนราชการของนักเขียนผู้นั้นลงในนิตยสารฟ้าเมืองไทยแล้วต้องลี้ภัยไปอยู่สวีเดน นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอันหนึ่งของการใช้อำนาจนอกระบบหรืออำนาจมืดในสังคมไทย ที่กดดันบีบบังคับคนจนต้องออกไปจากแผ่นดินเกิด รูปธรรมที่ทำให้นึกถึงคำข่มขู่ที่เครือข่ายอำนาจมืดชอบใช้ ”ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ !”