Thursday, February 10, 2005

"หมา" ...จำแนกตามพฤติกรรม...


เช้าวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2548 อากาศค่อนข้างเย็น ผมออกจากบ้านเดินไปสระว่ายน้ำใกล้บ้านบนเส้นทางที่เดินเป็นประจำ เมื่อผ่านชุมชนผู้บุกรุกที่สาธารณะริมคลองที่ตัดขวางซอยมาได้ไม่กี่เมตร ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนเดินคุยกันตามหลังมาติดๆ คิดว่าอยู่ห่างไปไม่เกิน 2 เมตร คนหนึ่งพูดเรื่องเงินของมูลนิธิแห่งหนึ่ง อีกคนพูดแต่คำว่า “หมา” กับ “หมาใน” ฟังอยู่สักพักพบว่าสองคนนี้พูดคนละเรื่องเดียวกัน คือต่างคนต่างก็พูดเรื่องของตัว และประโยคหรือคำพูดก็ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ผู้กำกับการแสดงอาจมือไม่ถึง เซ็ตมุขสั้นไป หรืออาจต้องการจะเน้นเรื่อง “หมา” ให้มันจะๆกันไปเลยก็ได้ เมื่อชัดเจนว่าเป็นการเซ็ตมุข และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดท่องคำเหล่านั้นอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงปากซอย ผมจึงคิดออกไปดังๆว่า “ก็หมาลอบกัดไง”

เหตุการณ์ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของมุข “หมา” ที่อำนาจมืดและเครือข่ายผลประโยชน์ใช้กับเราเป็นประจำ ทุกที่ทุกโอกาส ผู้ปฏิบัติก็มีหลายระดับ (เครือข่ายอำนาจมืดครอบคลุมกลุ่มผลประโยชน์ทุกระดับ) ตั้งแต่พวกที่ดูดีมีสตางค์มีความรู้ ไปจนถึงพวกหากินตามบาทวิถี (ดู หมาประจำซอย)

พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงจิตใจของคนพวกนี้ได้เป็นอย่างดี (โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลัง) คนที่สามารถทำร้ายผู้ที่ไม่เคยทำอะไรพวกเขามาก่อน คนที่พวเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ขอให้มีใบสั่งมาเป็นใช้ได้ คุณธรรมกลายเป็นเรื่อง ไร้สาระ... สำหรับพวกเขา ชีวิตคือ ผลประโยชน์

พวกเขามุ่งทำลายเป้าหมายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในวันพิเศษต่างๆ เช่น วันปีใหม่อย่างที่เล่ามานี้ จะมีการระดมก่อกวนเพื่อผลทางจิตวิทยา นี่หากอำนาจมืดสบโอกาสจริงๆผมคงไม่ได้มานั่งเขียนนั่งเล่าอะไรให้สังคมได้รับรู้กัน

วันนี้ก็เพิ่งเจอมุข “หมา” มาอีก ดูท่าจะชอบมุขนี้มาก (ยังมีมุขอื่นๆอีก แล้วผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง) เลยคิดว่าถึงเวลาต้องทำอะไรบ้างแล้ว คงต้องให้ข้อมูลพวกเขาพิจารณาตัวเองบ้าง เพราะสำหรับคนบางประเภทเคยชินกับการใช้อำนาจและพวกพ้องรังแกคนอื่น นานวันเข้าจะไม่หันมามองตัวเอง

พวกที่ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่เปิดเผย เขาเรียกว่า หมาลอบกัด
พวกที่รุมทำร้ายผู้อื่น เขาเรียกว่า หมาหมู่
พวกที่ชอบเสนอหน้าประจบประแจงเอาความดีความชอบ ชอบแสดงตัวเป็นผู้รู้ใจนายในทางเลวๆ เช่น รู้ว่านายเกลียดใครก็รีบไปกลั่นแกล้งให้ รวมทั้งพวกที่เต็มใจทำตามใบสั่งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ เขาเรียกว่า สุนัขรับใช้

ใครจัดอยู่ประเภทไหนก็ดูกันเอาเองนะครับ จะได้ไม่หลงไปยัดเยียดให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็น “หมาหางด้วน”


Friday, February 04, 2005

บ้านเรา ...เอาส์ชวิตซ์เมืองไทย...!

27 มกราคม 2005 ที่ผ่านมา หลายประเทศได้จัดงานรำลึกเนื่องในวันครบรอบหกสิบปีของการปลดปล่อยค่ายกักกันนาซีที่เมือง เอาส์ชวิตซ์ (Auschwitz)ในโปแลนด์ สถานที่สังหารหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง วันที่ 27 มกราคม 1945 หรือเมื่อหกสิบปีที่แล้ว กองทัพแดงของรัสเซียได้เข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดของนาซีที่เมืองเอาส์ชวิตซ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ กระทรวงข่าวสารของโปแลนด์เปิดเผยว่า ห้องแก๊สที่เอาส์ชวิตซ์สามารถฆ่าคนได้ถึง 6,000 คนต่อวัน (แก๊สพิษที่ใช้ในการสังหารหมู่ คือยาฆ่าแมลง Zyklon B โดยสร้างห้องรมแก๊สพิษติดกับอาคารเผาศพ)

หลายวันก่อนที่กองทัพแดงจะเข้าปลดปล่อยค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ ทหารเยอรมันได้รับคำสั่งให้ทำลายอาคารที่ใช้เผาศพและห้องแก๊ส ขณะล่าถอย นักโทษที่ยังเดินได้ซึ่งอาจมีถึง 60,000 คน ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่คุมขังและถูกบังคับให้เดินไปยังค่ายอื่นๆในเยอรมัน เมื่อกองทัพแดงมาถึง พวกเขาพบว่ามีนักโทษเหลืออยู่ในค่ายไม่กี่พันคน พวกนี้ป่วยเกินกว่าจะไปไหนได้ พวกเขายังพบเส้นผมของผู้หญิง ฟันมนุษย์ที่เอาทองคำที่อุดไว้ออกแล้ว และเสื้อผ้าเด็กหลายหมื่นชุด ซึ่งของเหล่านี้มีน้ำหนักรวมกันถึง 7 ตัน ประมาณกันว่ายอดตัวเลขของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สูงถึง 1 - 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 800,000 แสนคน (บางรายงานว่า 1,000,000 คน)

(เรียบเรียงจากข้อมูลของบีบีซี)

ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์
รูดอล์ฟ เฮิสส์ ทหารหน่วยเอสเอส ผู้บัญชาการค่ายกักกันที่เอาส์ชวิตซ์ เขาเป็นผู้สร้างและควบคุมค่ายนี้ วิตนี่ แฮร์ริส อัยการชาวอเมริกันที่ซักถามเฮิสส์ในการไต่สวนที่นูเร็มเบอร์ก กล่าวว่า รูดอล์ฟ เฮิสส์ ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เหมือนเสมียนตามร้านขายของชำ ซึ่งอดีตนักโทษที่เคยพบเขาที่เอาส์ชวิตซ์ก็ยืนยันภาพลักษณ์นี้ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเฮิสส์มักจะดูสงบและสำรวม เขาเป็นนักสังหารหมู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยประสบ แต่กระนั้น ไม่มีข้อมูลว่าเขาเคยลงมือทุบตีผู้ใดในค่ายกักกัน อย่าว่าแต่ฆ่าใครสักคนเลย

(ที่มา: บีบีซี)

ผมและภรรยาเพิ่งจะมีประสบการณ์ตรงกับกับเรื่องแก๊สพิษเมื่อประมาณ 8 ปีที่ผ่านมา และโดนหนักมากในช่วง 3 ปีหลัง เมื่อเราย้ายจากบ้านแม่กลับมาอยู่บ้านของเราเอง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการกดดันด้วยวิธีนี้  มีการใช้แก๊สสารพัดกลิ่นในปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแรงในทันที แต่เมื่อร่างกายรับเอาสารพิษเข้าไปมากๆ สุขภาพจะอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย มีปัญหาระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง สมอง ระบบประสาท และอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ปอด ตับและไตถูกทำลาย ในที่สุดโรคร้ายก็จะตามมาและอาจถึงแก่ความตายได้อย่างไร้ร่องรอย



ดู ...ความเป็นมา... และ ...สารพิษ อาวุธสังหารที่ (ดูเหมือน) ไร้ร่องรอย...