Saturday, August 26, 2006

ล้างบางกกต. หรือล้มล้างทรท.


นับตั้งแต่ศาลตัดสินจำคุกอดีต 3 กกต. โดยไม่รอลงอาญาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 และต่อมา อดีต 3 กกต. ได้ลาออกจากตำแหน่งซึ่งทำให้กกต.ทั้งห้าตำแหน่งว่างลง คนในเครือข่ายกลุ่มอำนาจเก่าและแนวร่วมได้ทะยอยกันออกมาแสดงตัวแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่องราวกับจัดคิวกัน ไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดล้วนพูดชี้นำสอดคล้องไปในทางเดียวกัน คือ ชี้ว่าควรเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยอ้างว่า กกต.ที่จะได้รับการคัดเลือกใหม่ทั้งห้าคนจะได้มีเวลาในการปรับตัวเรียนรู้งาน แต่เหตุผลหลักที่พูดกันอย่างไม่ตะขิตตะขวงใจเลยก็คือ เพื่อให้กกต.ชุดใหม่มีเวลาจัดการกับเจ้าหน้าที่ประจำในสำนักงานกกต.และจัดการกับกกต.จังหวัดต่างๆ พวกเขาแสดงความคิดเห็นกันออกมาชัดๆเช่นนี้ผ่านรายการต่างๆทางโทรทัศน์และการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พวกเขาพูดกันอย่างหน้าตาเฉยให้ประชาชนทางบ้านนับล้านฟังราวกับเป็นเรื่องที่ชอบธรรมในการขอเวลาให้กกต.ชุดใหม่ได้ล้างบางเจ้าหน้าที่ในกกต.เสียก่อน พวกเขาพูดราวกับว่าที่พรรคทรท.ได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาเป็นเพราะกกต.ชุดที่แล้วไม่เป็นกลางและทรท.ได้คะแนนมาอย่างไม่ชอบ คิดได้อย่างไร ขนาดโพลของพวกเขาเองยังระบุเลยว่า ณ ปัจจุบัน คะแนนเสียงของพรรคทรท.มาเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งฝ่ายตรงข้ามหลายล้านเสียง

มันเลวร้ายจนถึงกับต้องทำกันขนาดนั้นหรือ ทรท.ได้เป็นรัฐบาลครั้งแรกเมื่อปี 2544 กกต.ชุดนั้นก็เกิดในยุคพรรคประชาธิปัตย์ อดีตกกต. ชุดที่แล้วที่เพิ่งหมดอำนาจไปก็ได้รับการคัดเลือกและโปรดเกล้าตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหนึ่งในกกต.ชุดนี้ก็เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางจนถึงขั้นใช้วิธีการสารพัดบีบคั้นจนต้องหมดอำนาจไป ศาลฎีกาเองก็แสดงความเห็นหลายครั้งทำนองว่ากกต.ซึ่งรวมถึงผู้ที่มาจากการเสนอชื่อของศาลฎีกาเองไม่เป็นกลางและควรจะลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการสรรหากกต.ชุดใหม่โดยศาลฎีกา ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อกกต.ท่านหนึ่งซึ่งมาจากการเสนอชื่อของศาลฎีกาเองเป็นผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากกต.ชุดใหม่ที่ศาลฎีกาเป็นผู้เสนอทั้งชุดจะเป็นผู้ที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะเอียนกระแสที่ปลุกกันเหลือเกินเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่ากกต.ชุดใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อจากศาลฎีกาจะต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นกลางอย่างแน่นอน กกต.ชุดใหม่อาจเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางก็ได้ ไม่มีใครรับประกันได้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับประกันได้ เพราะผู้ที่ศาลฎีกาเคยเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นกกต. ก็เป็นหนึ่งในกกต.ที่ศาลฏีกาเองเห็นว่าไม่เป็นกลางและควรลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา

เมื่อการเปลี่ยนชุดกกต.ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด จึงเกิดคำถามตามมาอีกว่า ถ้าเช่นนั้น จริงๆแล้วพวกเขาต้องการอะไรแน่จึงได้มุ่งมั่นจะล้างบางกกต. (ทั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ ชุดจังหวัด และเจ้าหน้าที่ในกกต.) เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆอย่างที่พวกเขาอ้างหรือ ขอให้ดูพฤติการณ์ในช่วงนี้ของรักษาการ สว.ท่านหนึ่งแล้วจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร รรก.สว.ผู้นี้พยายามสร้างภาพว่าเป็นนักวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา แต่การกระทำที่แท้จริงกลับเหมือนสังกัดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งและตามล้างทรท.กับนายกฯทักษิณมาตลอด สร้างภาพว่าเป็นคนตรงไม่มีนอกไม่มีใน แต่ก็มีข่าวฉาวออกมาว่าเป็นพวกสุขนิยมเหมือนกัน แอบไปซื้อคอนโดที่หาดจอมเทียนเอาไว้โดยขอให้อดีตประธานวุฒิฯท่านหนึ่งช่วยขอส่วนลดให้ แล้วจัดการอดีตประธานวุฒิฯท่านนั้นจนหลังหักในภายหลัง รรก.สว.ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้แแหละครับที่ได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนทั้งในรายการทางโทรทัศน์และในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงความกังวลเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกจาก สว.ให้เป็น กกต. โดยเขาจะกล่าวเสมอว่า ในการให้ใบเหลือใบแดงนั้น หากมี กกต.เพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่อาจให้ใบเหลืองใบแดงได้ เป็นกติกาที่เสียงข้างน้อยสามารถเอาชนะเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นสว.ต้องดูให้ดีอย่าให้คนบางคนหลุดรอดไปเป็นกกต.อย่างเด็ดขาด (ตัวเองโอดครวญบ่อยครั้งถึงความไม่เป็นธรรมที่เสียงข้างน้อยกลุ่มตนได้รับในวุฒิสภา แต่กลับหาทางขจัดเสียงส่วนน้อยในกกต.) ซึ่งในความเห็นของเขามีอยู่สองสามคนที่เข้าข่ายเช่นนั้น รรก.สว.ท่านนี้เกรงว่าจะมีการบล็อกโหวตเพื่อให้คนที่รรก.สว.และเครือข่ายต่อต้านนายกทักษิณไม่ต้องการ ได้เป็นกกต. มีการเคลื่อนไหวสร้างกระแสในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่จริงแล้วความเคลื่อนไหวของพวกเขาที่ไม่ต้องการให้บางคนหลุกรอดไปเป็นกกต.นั่นแหละคือการบล็อกโหวต

กลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวในประเด็นนี้เท่าที่ผมเห็นทางจอโทรทัศน์มีทั้ง รรก.สว.จำนวนหนึ่ง ว่าที่สว. ท่านหนึ่งที่มีบทบาทเป็นฝ่ายตรงข้ามนายกทักษิณเป็นประจำ และยังมีอีกหลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ในคราบนักวิชาการ ผู้ประกาศข่าว พิธีกร นักจัดรายการ ถ้าเราได้ติดตามดูการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของบุคคลเหล่านี้โดยเฉพาะในระยะนี้แล้วจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเหมือนกันหมด คือใช้ท่วงทำนองนุ่มนวล ดูดี ดูคล้ายมีเหตุผล แต่ใช้เทคนิคบิดเบือน เบี่ยงประเด็น ให้ข้อมูลเท็จ และพูดแบบตีหัวเข้าบ้านอย่างแยบยล ไม่ว่าจะใช้วิธีการแบบใด สาระที่แท้จริงที่แสดงออกล้วนแต่เป็นผลลบต่อนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทย ขอให้ค่อยๆสังเกตแล้วจะเห็นแนวโน้มเอนเอียงไปเรื่อยๆจนถึงช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ดังนั้นความกังวลในเรื่องการออกใบเหลืองใบแดงที่กล่าวกันนั้นจึงมองได้ว่าพวกเขาไม่สบายใจ กลัวว่าการออกใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัคร สส.พรรคทรท.จะไม่ลื่นไหลอย่างที่ต้องการ ไม่ได้กลัวว่าการออกใบเหลืองใบแดงจะมีปัญหากับพรรคอื่นๆแต่อย่างใด นี่ขนาดผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 10 ราย มาจากการสรรหาของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา องค์กรที่พวกเขาผลักดันให้เป็นผู้สรรหากกต.ใหม่ทั้งชุดด้วยข้ออ้างด้านความน่าเชื่อถือ การจะเลือกผู้ใดผู้หนึ่งใน 10 คนนี้ จึงน่าจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจจากพวกเขา แต่ก็ไม่วายที่จะมีปัญหาอีก ความกลัวที่พล่านไปหมดนี้น่าจะเข้าขั้น “วิตกจริต” และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะทำลายล้างนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทย

พวกเขาหวังว่าการสกัดกั้นผู้ได้รับการเสนอชื่อบางคนไม่ให้เป็นกกต. และการล้างบางกกต. อย่างน้อยอาจช่วยสกัดกั้นไม่ให้สส.ทรท.ได้รับเลือกเข้าสภาอย่างถล่มทลายเช่นครั้งก่อนๆ และเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะนำไปสู่การล้มล้างทรท.และนายกทักษิณในที่สุด หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวเมื่อถูกถามถึงกรณีการเลื่อนวันเลือกตั้งว่า เมื่อได้คืบก็จะเอาศอก เมื่อได้ศอกก็จะเอาวา ผมขอขยายต่อว่า เมื่อได้วาก็จะเอาโยชน์ และจะเอาต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะทำลายนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทยได้

เมืองไทยมาถึงยุคของการต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้วกระมังครับ มันเป็นผลพวงจากความกลัวสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่าและเครือข่ายที่พุ่งถึงขีดสุด เมื่อการสูญเสียความหอมหวานที่ได้มาอย่างง่ายๆสบายๆในอดีตอาจไม่ใช่การสูญเสียอย่างชั่วคราว แต่อาจกลายเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ความกลัวย่อมบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความกลัวที่ปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาดิ้นรน วิธีการหนึ่งที่นำเข้ามาจากต่างประเทศได้ถูกนำมาใช้อย่างสุดๆยิ่งกว่าต้นแบบ อดีตนักการเมืองสอบตกคนหนึ่งอาศัยคราบครูบาอาจารย์อาศัยคราบนักวิชาการและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรฯปลุกระดมให้เครือข่ายออกมาตามก่อกวนตามขับไล่นายกทักษิณอย่างสิ้นคิด ไม่เลือกที่ไม่เลือกเวลา แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า หรือในวาระอันเป็นมงคล ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศ เป็นการกระทำที่น่าละอายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาก่อน การกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามและละเมิดสิทธิเสีรีภาพของบุคคลอื่น จะอ้างว่าเป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ ผมเองไม่ชอบอดีตผู้นำประเทศบางคน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรที่ไร้วัฒนธรรมอย่างนั้นเลย ช่องทางประชาธิปไตยมีก็ไม่ใช้ คงเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยืนอยู่ข้างนายกทักษิณ พวกเขาไม่อาจเอาชนะทางการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยได้ แต่เมื่อจะล้มล้างกันให้ได้ก็ทำทุกวิถีทาง แผนร้ายวิชามารมีเท่าไรขุดมาใช้ให้หมด วิธีการบางอย่างต่ำทรามจนคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะทำกับผู้นำประเทศ ทั้งหยาบคาย มุ่งยั่วยุให้ขาดสติ เพื่อกดดันและทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนพยายามสร้างสถานการณ์รุนแรงให้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง แต่กลับป้ายสีว่าคนในฝ่ายรัฐบาลอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้คัดค้านนายกทักษิณ ใครกันครับที่จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ ฝ่ายที่รู้อยู่ว่าตนจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและจะเป็นฝ่ายที่มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่เพราะเป็นชัยชนะภายใต้การคุมเกมการเลือกตั้งของฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่รู้อยู่ว่าตนจะพ่ายแพ้และสูญเสียความชอบธรรมที่จะดึงนายกทักษิณลงจากเวทีการเมืองหากปล่อยให้ไปถึงวันเลือกตั้ง

ดีเหมือนกัน แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้หมด ประชาชนจะได้เห็นว่าใครเป็นใคร ใครบ้างที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมประชาธิปไตย เสื้อคลุมนักวิชาการ เสื้อคลุมองค์กรเอกชน เสื้อคลุมสื่อมวลชน ฯลฯ ใครเป็นพวกรับจ้างป่วนประเทศชาติ ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู ใครยืนอยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง ทรท.เองก็จะได้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะขจัดปัดเป่าสิ่งรกรุงรังในพรรคออกไป ยกระดับพรรคให้สูงขึ้น มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนได้มากขึ้น

สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้บอกเราว่า เมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมืองไทยและคนไทยจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยไม่ยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ตามกติกาประชาธิปไตย หากเสียงส่วนใหญ่ตอนนี้ต้องกลายเป็นเสียงส่วนน้อยเมื่อไร เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็อาจเกิดขึ้นอีกเพราะเสียงข้างน้อยกลุ่มแรกได้สร้างบรรทัดฐานอันเลวร้ายนี้ไว้แล้ว ความเสียหายที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองจะไม่มีที่สิ้นสุด จะไม่มีใครยอมรับกติกาบ้านเมืองอีกต่อไป “ฟันต่อฟัน” กำลังจะกลายเป็นทางออกของประชาชน คิดถึงประเด็นนี้กันบ้างไหม หรือมองเห็นแต่อำนาจและผลประโยชน์ของพวกพ้องเฉพาะหน้าเท่านั้น ...อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่ความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆอย่างที่มองเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนเท่านั้น ยังมีพวกโรคแทรก พวกกลุ่มแอบกลุ่มโม่งที่รอฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์วิกฤตทางการเมืองนี้อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง...