Saturday, August 26, 2006

ล้างบางกกต. หรือล้มล้างทรท.


นับตั้งแต่ศาลตัดสินจำคุกอดีต 3 กกต. โดยไม่รอลงอาญาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 และต่อมา อดีต 3 กกต. ได้ลาออกจากตำแหน่งซึ่งทำให้กกต.ทั้งห้าตำแหน่งว่างลง คนในเครือข่ายกลุ่มอำนาจเก่าและแนวร่วมได้ทะยอยกันออกมาแสดงตัวแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่องราวกับจัดคิวกัน ไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดล้วนพูดชี้นำสอดคล้องไปในทางเดียวกัน คือ ชี้ว่าควรเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยอ้างว่า กกต.ที่จะได้รับการคัดเลือกใหม่ทั้งห้าคนจะได้มีเวลาในการปรับตัวเรียนรู้งาน แต่เหตุผลหลักที่พูดกันอย่างไม่ตะขิตตะขวงใจเลยก็คือ เพื่อให้กกต.ชุดใหม่มีเวลาจัดการกับเจ้าหน้าที่ประจำในสำนักงานกกต.และจัดการกับกกต.จังหวัดต่างๆ พวกเขาแสดงความคิดเห็นกันออกมาชัดๆเช่นนี้ผ่านรายการต่างๆทางโทรทัศน์และการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พวกเขาพูดกันอย่างหน้าตาเฉยให้ประชาชนทางบ้านนับล้านฟังราวกับเป็นเรื่องที่ชอบธรรมในการขอเวลาให้กกต.ชุดใหม่ได้ล้างบางเจ้าหน้าที่ในกกต.เสียก่อน พวกเขาพูดราวกับว่าที่พรรคทรท.ได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาเป็นเพราะกกต.ชุดที่แล้วไม่เป็นกลางและทรท.ได้คะแนนมาอย่างไม่ชอบ คิดได้อย่างไร ขนาดโพลของพวกเขาเองยังระบุเลยว่า ณ ปัจจุบัน คะแนนเสียงของพรรคทรท.มาเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งฝ่ายตรงข้ามหลายล้านเสียง

มันเลวร้ายจนถึงกับต้องทำกันขนาดนั้นหรือ ทรท.ได้เป็นรัฐบาลครั้งแรกเมื่อปี 2544 กกต.ชุดนั้นก็เกิดในยุคพรรคประชาธิปัตย์ อดีตกกต. ชุดที่แล้วที่เพิ่งหมดอำนาจไปก็ได้รับการคัดเลือกและโปรดเกล้าตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหนึ่งในกกต.ชุดนี้ก็เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางจนถึงขั้นใช้วิธีการสารพัดบีบคั้นจนต้องหมดอำนาจไป ศาลฎีกาเองก็แสดงความเห็นหลายครั้งทำนองว่ากกต.ซึ่งรวมถึงผู้ที่มาจากการเสนอชื่อของศาลฎีกาเองไม่เป็นกลางและควรจะลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการสรรหากกต.ชุดใหม่โดยศาลฎีกา ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อกกต.ท่านหนึ่งซึ่งมาจากการเสนอชื่อของศาลฎีกาเองเป็นผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากกต.ชุดใหม่ที่ศาลฎีกาเป็นผู้เสนอทั้งชุดจะเป็นผู้ที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะเอียนกระแสที่ปลุกกันเหลือเกินเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่ากกต.ชุดใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อจากศาลฎีกาจะต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นกลางอย่างแน่นอน กกต.ชุดใหม่อาจเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางก็ได้ ไม่มีใครรับประกันได้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับประกันได้ เพราะผู้ที่ศาลฎีกาเคยเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นกกต. ก็เป็นหนึ่งในกกต.ที่ศาลฏีกาเองเห็นว่าไม่เป็นกลางและควรลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา

เมื่อการเปลี่ยนชุดกกต.ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด จึงเกิดคำถามตามมาอีกว่า ถ้าเช่นนั้น จริงๆแล้วพวกเขาต้องการอะไรแน่จึงได้มุ่งมั่นจะล้างบางกกต. (ทั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ ชุดจังหวัด และเจ้าหน้าที่ในกกต.) เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆอย่างที่พวกเขาอ้างหรือ ขอให้ดูพฤติการณ์ในช่วงนี้ของรักษาการ สว.ท่านหนึ่งแล้วจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร รรก.สว.ผู้นี้พยายามสร้างภาพว่าเป็นนักวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา แต่การกระทำที่แท้จริงกลับเหมือนสังกัดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งและตามล้างทรท.กับนายกฯทักษิณมาตลอด สร้างภาพว่าเป็นคนตรงไม่มีนอกไม่มีใน แต่ก็มีข่าวฉาวออกมาว่าเป็นพวกสุขนิยมเหมือนกัน แอบไปซื้อคอนโดที่หาดจอมเทียนเอาไว้โดยขอให้อดีตประธานวุฒิฯท่านหนึ่งช่วยขอส่วนลดให้ แล้วจัดการอดีตประธานวุฒิฯท่านนั้นจนหลังหักในภายหลัง รรก.สว.ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้แแหละครับที่ได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนทั้งในรายการทางโทรทัศน์และในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงความกังวลเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกจาก สว.ให้เป็น กกต. โดยเขาจะกล่าวเสมอว่า ในการให้ใบเหลือใบแดงนั้น หากมี กกต.เพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่อาจให้ใบเหลืองใบแดงได้ เป็นกติกาที่เสียงข้างน้อยสามารถเอาชนะเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นสว.ต้องดูให้ดีอย่าให้คนบางคนหลุดรอดไปเป็นกกต.อย่างเด็ดขาด (ตัวเองโอดครวญบ่อยครั้งถึงความไม่เป็นธรรมที่เสียงข้างน้อยกลุ่มตนได้รับในวุฒิสภา แต่กลับหาทางขจัดเสียงส่วนน้อยในกกต.) ซึ่งในความเห็นของเขามีอยู่สองสามคนที่เข้าข่ายเช่นนั้น รรก.สว.ท่านนี้เกรงว่าจะมีการบล็อกโหวตเพื่อให้คนที่รรก.สว.และเครือข่ายต่อต้านนายกทักษิณไม่ต้องการ ได้เป็นกกต. มีการเคลื่อนไหวสร้างกระแสในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่จริงแล้วความเคลื่อนไหวของพวกเขาที่ไม่ต้องการให้บางคนหลุกรอดไปเป็นกกต.นั่นแหละคือการบล็อกโหวต

กลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวในประเด็นนี้เท่าที่ผมเห็นทางจอโทรทัศน์มีทั้ง รรก.สว.จำนวนหนึ่ง ว่าที่สว. ท่านหนึ่งที่มีบทบาทเป็นฝ่ายตรงข้ามนายกทักษิณเป็นประจำ และยังมีอีกหลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ในคราบนักวิชาการ ผู้ประกาศข่าว พิธีกร นักจัดรายการ ถ้าเราได้ติดตามดูการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของบุคคลเหล่านี้โดยเฉพาะในระยะนี้แล้วจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเหมือนกันหมด คือใช้ท่วงทำนองนุ่มนวล ดูดี ดูคล้ายมีเหตุผล แต่ใช้เทคนิคบิดเบือน เบี่ยงประเด็น ให้ข้อมูลเท็จ และพูดแบบตีหัวเข้าบ้านอย่างแยบยล ไม่ว่าจะใช้วิธีการแบบใด สาระที่แท้จริงที่แสดงออกล้วนแต่เป็นผลลบต่อนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทย ขอให้ค่อยๆสังเกตแล้วจะเห็นแนวโน้มเอนเอียงไปเรื่อยๆจนถึงช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ดังนั้นความกังวลในเรื่องการออกใบเหลืองใบแดงที่กล่าวกันนั้นจึงมองได้ว่าพวกเขาไม่สบายใจ กลัวว่าการออกใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัคร สส.พรรคทรท.จะไม่ลื่นไหลอย่างที่ต้องการ ไม่ได้กลัวว่าการออกใบเหลืองใบแดงจะมีปัญหากับพรรคอื่นๆแต่อย่างใด นี่ขนาดผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 10 ราย มาจากการสรรหาของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา องค์กรที่พวกเขาผลักดันให้เป็นผู้สรรหากกต.ใหม่ทั้งชุดด้วยข้ออ้างด้านความน่าเชื่อถือ การจะเลือกผู้ใดผู้หนึ่งใน 10 คนนี้ จึงน่าจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจจากพวกเขา แต่ก็ไม่วายที่จะมีปัญหาอีก ความกลัวที่พล่านไปหมดนี้น่าจะเข้าขั้น “วิตกจริต” และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะทำลายล้างนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทย

พวกเขาหวังว่าการสกัดกั้นผู้ได้รับการเสนอชื่อบางคนไม่ให้เป็นกกต. และการล้างบางกกต. อย่างน้อยอาจช่วยสกัดกั้นไม่ให้สส.ทรท.ได้รับเลือกเข้าสภาอย่างถล่มทลายเช่นครั้งก่อนๆ และเป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะนำไปสู่การล้มล้างทรท.และนายกทักษิณในที่สุด หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวเมื่อถูกถามถึงกรณีการเลื่อนวันเลือกตั้งว่า เมื่อได้คืบก็จะเอาศอก เมื่อได้ศอกก็จะเอาวา ผมขอขยายต่อว่า เมื่อได้วาก็จะเอาโยชน์ และจะเอาต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะทำลายนายกทักษิณและพรรคไทยรักไทยได้

เมืองไทยมาถึงยุคของการต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้วกระมังครับ มันเป็นผลพวงจากความกลัวสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่าและเครือข่ายที่พุ่งถึงขีดสุด เมื่อการสูญเสียความหอมหวานที่ได้มาอย่างง่ายๆสบายๆในอดีตอาจไม่ใช่การสูญเสียอย่างชั่วคราว แต่อาจกลายเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ความกลัวย่อมบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความกลัวที่ปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาดิ้นรน วิธีการหนึ่งที่นำเข้ามาจากต่างประเทศได้ถูกนำมาใช้อย่างสุดๆยิ่งกว่าต้นแบบ อดีตนักการเมืองสอบตกคนหนึ่งอาศัยคราบครูบาอาจารย์อาศัยคราบนักวิชาการและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรฯปลุกระดมให้เครือข่ายออกมาตามก่อกวนตามขับไล่นายกทักษิณอย่างสิ้นคิด ไม่เลือกที่ไม่เลือกเวลา แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า หรือในวาระอันเป็นมงคล ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศ เป็นการกระทำที่น่าละอายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาก่อน การกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามและละเมิดสิทธิเสีรีภาพของบุคคลอื่น จะอ้างว่าเป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ ผมเองไม่ชอบอดีตผู้นำประเทศบางคน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรที่ไร้วัฒนธรรมอย่างนั้นเลย ช่องทางประชาธิปไตยมีก็ไม่ใช้ คงเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยืนอยู่ข้างนายกทักษิณ พวกเขาไม่อาจเอาชนะทางการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยได้ แต่เมื่อจะล้มล้างกันให้ได้ก็ทำทุกวิถีทาง แผนร้ายวิชามารมีเท่าไรขุดมาใช้ให้หมด วิธีการบางอย่างต่ำทรามจนคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะทำกับผู้นำประเทศ ทั้งหยาบคาย มุ่งยั่วยุให้ขาดสติ เพื่อกดดันและทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนพยายามสร้างสถานการณ์รุนแรงให้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง แต่กลับป้ายสีว่าคนในฝ่ายรัฐบาลอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้คัดค้านนายกทักษิณ ใครกันครับที่จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ ฝ่ายที่รู้อยู่ว่าตนจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและจะเป็นฝ่ายที่มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่เพราะเป็นชัยชนะภายใต้การคุมเกมการเลือกตั้งของฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่รู้อยู่ว่าตนจะพ่ายแพ้และสูญเสียความชอบธรรมที่จะดึงนายกทักษิณลงจากเวทีการเมืองหากปล่อยให้ไปถึงวันเลือกตั้ง

ดีเหมือนกัน แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้หมด ประชาชนจะได้เห็นว่าใครเป็นใคร ใครบ้างที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมประชาธิปไตย เสื้อคลุมนักวิชาการ เสื้อคลุมองค์กรเอกชน เสื้อคลุมสื่อมวลชน ฯลฯ ใครเป็นพวกรับจ้างป่วนประเทศชาติ ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู ใครยืนอยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง ทรท.เองก็จะได้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะขจัดปัดเป่าสิ่งรกรุงรังในพรรคออกไป ยกระดับพรรคให้สูงขึ้น มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนได้มากขึ้น

สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้บอกเราว่า เมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมืองไทยและคนไทยจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยไม่ยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ตามกติกาประชาธิปไตย หากเสียงส่วนใหญ่ตอนนี้ต้องกลายเป็นเสียงส่วนน้อยเมื่อไร เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็อาจเกิดขึ้นอีกเพราะเสียงข้างน้อยกลุ่มแรกได้สร้างบรรทัดฐานอันเลวร้ายนี้ไว้แล้ว ความเสียหายที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองจะไม่มีที่สิ้นสุด จะไม่มีใครยอมรับกติกาบ้านเมืองอีกต่อไป “ฟันต่อฟัน” กำลังจะกลายเป็นทางออกของประชาชน คิดถึงประเด็นนี้กันบ้างไหม หรือมองเห็นแต่อำนาจและผลประโยชน์ของพวกพ้องเฉพาะหน้าเท่านั้น ...อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่ความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆอย่างที่มองเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนเท่านั้น ยังมีพวกโรคแทรก พวกกลุ่มแอบกลุ่มโม่งที่รอฉกฉวยโอกาสจากสถานการณ์วิกฤตทางการเมืองนี้อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง...

Wednesday, July 12, 2006

แด่ความอำมหิต...


อาจารย์ท่านหนึ่งพูดกับเราเมื่อคุยกันเรื่องอำนาจมืดว่า “โชคดีที่เราไม่มีลูก” และเพื่อนคนหนึ่งก็พูดกับเราทำนองนี้และเสริมด้วยว่า “ถ้าพวกนั้นทำกับลูกของเราๆจะยิ่งเจ็บปวด” เพื่อนคนนี้บอกเช่นนี้ได้เพราะเขารู้เรื่องเครือข่ายอำนาจมืดเป็นอย่างดี แต่เขาบอกเราในฐานะที่เราเป็นเพื่อนเขา …เมื่อเราไม่มีลูก พวกเขาจึงใช้วิธีทำร้ายผู้เป็นที่รักของเรา…

เช้าวันที่ 4 มีนาคม 2542 ผมและภรรยาขับรถออกจากวัดแห่งหนึ่งบนเขาค้อซึ่งเราไปขออาศัยเป็นที่พักโดยมีลูกศิษย์วัดคนหนึ่งนั่งไปด้วย เราไปตามทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก ผ่านทุ่งแสลงหลวง น้ำตกแก่งโสภา อำเภอนครไทย บ้านห้วยตีนตั๋ง เป้าหมายปลายทางคือ “วนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า”

เมื่อออกจากวัดได้สักพัก มีงูลำตัวดำมะเมื่อมขนาดข้อมือเด็ก ยาวประมาณเมตรครึ่ง เลื้อยตัดหน้ารถอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เราไม่ได้ทับงูตัวนั้น ลูกศิษย์วัดบอกว่าถ้าขับรถทับงู เราจะต้องกลับบ้านอาบน้ำแล้วจึงค่อยออกมาใหม่ ชาวบ้านเขาถือกันเช่นนั้น

ผมขับรถเข้าเขตอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ถนนช่วงนั้นเป็นเส้นตรงยาวเหยียด นานๆจึงจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคัน ทันใดนั้นลูกศิษย์วัดก็ชี้ไปบนถนนข้างหน้า ผมเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆสีดำกำลังคลานข้ามถนน ผมชะลอความเร็วรถ ตอนแรกลูกศิษย์วัดคิดว่าเป็นตัวตุ่น แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆเราจึงรู้ว่าเป็นลูกสุนัขสีดำ ผมจอดรถเลยไปห่างจากจุดที่เขาคลานข้ามถนนประมาณ 10 เมตร ผมลงจากรถ เดินย้อนกลับมาที่ลูกหมาตัวนั้น ผมเห็นภาพที่ไม่มีวันจะลืมได้ ลูกหมาตัวนั้นกำลังหมอบคลานศอกระยะ 5 – 6 เมตรบนถนนยางมะตอยเข้ามาหาผม ผมอุ้มเขาขึ้นมา เขาตัวเล็กมาก โตกว่าฝ่ามือเพียงนิดเดียว เป็นหมาไทยเพศเมีย อายุประมาณ 1 เดือน ขนสั้นสีดำทั้งตัว เราตั้งชื่อเขาว่า “มุกดำ” แต่เราจะเรียกเขาสั้นๆว่า “ดำ”

ขณะที่ผมอุ้มดำขึ้นมานั้น ผมได้ยินเสียงร้องของลูกหมาอีกตัวหนึ่ง ผมมองไปตามถนนในทิศทางที่ดำคลานมา ผมเห็นลูกหมาอีกตัวหนึ่งนั่งร้องอยู่บนไหล่ถนนห่างไปประมาณ 12 เมตร ผมเดินไปอุ้มเขาขึ้นมา เขาหยุดร้อง เป็นหมาไทยเพศเมียขนสั้นสีดำเช่นกัน ขนาดเท่าๆกับดำ หน้าตาก็เหมือนกันจนเหมือนฝาแฝด ต่างกันที่ตัวนี้มีสีขาวยาวตั้งแต่ยอดอกถึงท้องกับสีขาวที่ปลายเท้า เราตั้งชื่อให้เขาว่า “แต้ม” ผมส่งลูกหมาทั้งสองตัวให้ภรรยาซึ่งตามลงมา ก่อนเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้ “จ้อย” หมาไทยหลังอานเพศผู้สีดำของเราเพิ่งตายจากเราไปไม่นาน และด้วยความที่เธอรักจ้อยมาก ภรรยาผมตั้งใจว่าจะไม่เลี้ยงสุนัขอีก แต่เมื่อเธอเห็นลูกหมาทั้งสองถูกทิ้งอยู่ข้างถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยวเช่นนี้ ประกอบกับระหว่างทางเราได้เห็นซากสุนัขถูกรถทับเป็นระยะๆตลอดทาง เธอจึงเปลี่ยนใจซึ่งผมรู้ได้จากสีหน้าของเธอ
("จ้อย" ยังไม่ถึงขวบ)


ทันทีที่ดำและแต้มขึ้นไปอยู่บนรถ เขาทำความคุ้นเคยกับเราได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีทีท่าตื่นกลัวหลงเหลืออยู่เลย ด้วยสัญชาติญาณ เขารู้ว่าเราช่วยเขา เขาทำตัวราวกับอยู่บ้านของตัวเอง ซุกซน ปีนเล่นในรถอุตลุด ภรรยาผมต้องคอยคว้าไว้ไม่ให้เขาปีนมาหาผมที่เบาะหน้า วันนั้นเราพาลูกหมาไปเที่ยวภูหินร่องกล้ากับเราด้วย เราไม่ได้เตรียมอะไรไปจึงมีเพียงน้ำดื่มให้เขากินประทังหิวไปก่อน เมื่อเพลียเขาก็จะหลับในอกเรา

ที่วนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เราอุ้มดำแต้มเดินเที่ยวไปกับเราตามเส้นทางท่องเที่ยวบนภู เป็นเส้นทางเดินเที่ยวระยะ 3 กิโลเมตร วันนั้นแทบไม่มีคนเลย อาจเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด เราสวนกับคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งตอนเริ่มออกเดิน และตลอดเส้นทางการเดินจนกระทั่งกลับมาที่จอดรถเราพบคนอีกเพียงกลุ่มเดียว เข้าใจว่าเป็นม้งมาเที่ยวเหมือนกับเรา ม้งกลุ่มนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็กๆรวมกันนับสิบคน จำได้ว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอ้วนจ้ำม่ำแก้มแดงน่ารักจนภรรยาผมทัก ตอนเราเจอกลุ่มม้งพวกเขามาจากอีกทางหนึ่ง มาเจอกันระหว่างทางแล้วแซงหน้าเราไปเมื่อใกล้ถึงผาชูธง ("ดำ" กับ "แต้ม" เพิ่งมาอยู่กับเราได้ 5 วัน)


ผ่านผาชูธงมาได้ไม่นาน ช่วงนั้นประมาณอีก 1 กิโลเมตรจะถึงที่จอดรถ เราได้ยินเสียงซู่ๆเหมือนเสียงน้ำไหลอยู่ใกล้ๆ ตอนแรกเราคิดว่าคงมีลำธารอยู่แถวนั้น แต่พอเหลียวมองไปทางขวาซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแห้งที่มีใบไม้แห้งปกคลุมเต็มไปหมด ห่างไปแค่สองถึงสามเมตรเราเห็นส่วนท้ายของงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังเลื้อยช้าๆออกไป เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงน้ำไหลแต่เป็นเสียงที่เกิดจากการเลื้อยแหวกพงหญ้าและใบไม้แห้งที่มีอยู่ทุกตารางนิ้วของงูตัวนั้น แวบแรกที่เห็น ลูกศิษย์วัดเอ่ยขึ้นว่า “งูเหลือม” แต่พูดไม่ทันขาดคำใบหน้าลูกศิษย์วัดก็ซีดเผือด ผงะถอยหนึ่งก้าวพร้อมกับคำพูดลอยออกมาจากปาก “งูจงอาง” แล้วยืนนิ่งตัวแข็ง ตอนนั้นผมมองงูตัวนั้นอยู่ด้วยใจระทึก เป็นงูที่มีขนาดใหญ่มาก ลำตัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามนิ้วครึ่งถึงสี่นิ้ว สีดำเหมือนงูที่เลื้อยตัดหน้ารถตอนเช้าที่เขาค้อ ผมไม่เห็นส่วนหัวของงู แต่จากขนาดและสีของงูบอกให้เรารู้ว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากงูจงอาง ภรรยาผมได้สติบอกให้ลูกศิษย์วัดเดินต่อไป เราเดินต่อไปอย่างเงียบๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ระหว่างนั้นเรายังคงได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วอยู่ด้านหลังตลอดเวลาราวกับว่าจงอางตัวนั้นกำลังเลื้อยอยู่ข้างหลังเรา ไม่มีใครกล้าหันกลับไปมอง เราได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น สักพักเสียงน้ำไหลก็ค่อยๆจางห่างออกไป ("ดำ" กับ "แต้ม" อายุประมาณสี่เดือน)

เมื่อกลับมาที่รถแล้วภรรยาผมเล่าว่าเธอเห็นส่วนหัวของงู ตอนนั้นเธอมองจงอางและจงอางก็มองเธอ เธอไม่รู้สึกว่างูตัวนี้มีทีท่าจะคุกคามเธอเลย เธอไม่รู้สึกหวาดกลัวจนกระทั่งเห็นอาการของลูกศิษย์วัดนั่นแหละความกลัวก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามา คำนวณระยะจากส่วนท้ายไปจนถึงส่วนหัวของงูแล้ว จงอางตัวนี้น่าจะมีความยาวประมาณสี่ถึงห้าเมตร เป็นจงอางที่มีขนาดใหญ่มากจนลูกศิษย์วัดพูดว่าจงอางตัวนี้ไม่ใช่งูธรรมดา เราเรียกเขาว่า “พญางู”

ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาได้สักพัก เราเดินมาถึงทางเข้าสุสาน ทปท. ผมอยากจะแวะเข้าไปดูซึ่งต้องเดินเข้าไปจากข้างทางอีกระยะหนึ่ง แต่ภรรยาผมห้ามไว้ เธอไม่ยอมให้เราแวะที่ไหนอีกแล้ว เราเดินต่อไปจนถึงที่จอดรถและกลับวัดที่พักบนเขาค้อโดยแวะซื้อนมกล่องให้ลูกหมาจากตลาดเล็กๆใกล้วัด เราคิดว่าอาจเป็นบุญกุศลที่ส่งผลทันตา กุศลผลบุญที่เราได้ช่วยชีวิตดำและแต้มจากข้างถนนทำให้เราแคล้วคลาดไม่ได้รับอันตรายใดๆ หรืออาจด้วยกุศลผลบุญอันนี้ พญางูจึงมาปรากฏตัวเพื่อเตือนภัยเราก็ได้ ด้วยเหตุนี้ภรรยาผมจึงไม่ยอมให้เราแวะที่ไหนอีกซึ่งผมก็เห็นด้วย นับว่าเป็นวันหนึ่งที่เราไม่อาจลืมได้เลย

ในห้องพักที่วัด เราใช้ลังกระดาษทำเป็นที่นอนให้ดำแต้มโดยวางชิดฝาห่างจากเตียงของเราไปเมตรครึ่ง แต่ดูลูกหมาจะไม่ชอบ เขาร้องกวน เราเปลี่ยนที่นอนให้เขาใหม่โดยย้ายลังกระดาษมาวางชิดผนังอีกด้านติดกับหัวเตียงของเรา คราวนี้ได้ผล ลูกหมาสงบลงไม่ร้องกวน เมื่อหิวเขาจะวิ่งไปกินนมที่เราใส่จานวางไว้หน้าห้องน้ำที่ปลายเตียง กินเสร็จก็จะฉี่แถวๆนั้น ห่างจากจานใส่นมประมาณหนึ่งเมตร แล้ววิ่งกลับมานอนในลัง เป็นเส้นทางที่ตรงไปตรงมา ไม่มีการออกนอกเส้นทางเลย ตอนเช้าเราพาเขาออกมาถ่ายหนัก เนื่องจากห้องที่เราพักเป็นบ้านหลังเล็กๆที่มีหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ รอบๆบ้านเป็นสวนป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งปกคลุมเต็มพื้นดิน เมื่อเขาจะหาที่ถ่ายเขาก็ต้องกระโดดลงไปลุยใบไม้แห้งที่สูงเกือบท่วมตัวเขา (เพราะตัวเขาเล็กมาก) เมื่อถ่ายเสร็จก็จะพากันวิ่งขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าบ้าน กินนม นอน กระบวนการเหล่านี้ดำเนินไปตามธรรมชาติ โดยที่เราไม่ได้สอนอะไรเขาเลย เพียงแต่เปิดประตู เรียกเขาออกมา พอเขาถ่ายเสร็จ เราก็เดินนำไปและเปิดประตู เขาก็จะกระโดดเข้าบ้าน เขาเรียนรู้ด้วยสัญชาติญาณได้อย่างรวดเร็ว

สองวันต่อมาเรากลับบ้านที่กรุงเทพ ลูกหมาทั้งสองตัวมีหมัดคลานยั้วเยี้ยไปหมด ดูจากภายนอกแล้วทั้งสองตัวดูแข็งแรงดี เล่นซุกซนเหมือนลูกหมาทั่วๆไป แต่ดำมีน้ำมูกใสๆไหลที่ปลายจมูกตลอดเวลาและดวงตาของดำก็เป็นสีเทามัวๆ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าตาของดำเป็นแบบนั้นเอง เมื่อเราพาดำและแต้มไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เราจึงรู้ว่าดำเป็นหวัดและที่ตาของดำเป็นสีเทามัวๆเช่นนั้นก็เพราะเขาขาดสารอาหาร ต่อมาเมื่อเขาได้รับสารอาหารครบถ้วน ดวงตาของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนเป็นสีดำสดใสเหมือนสุนัขทั่วไป นอกจากเป็นหวัดและปัญหาเรื่องขาดสารอาหารแล้ว ดำยังมีปัญหาบางอย่างในคอทำให้เขากินช้าและไอเวลากินคล้ายมีอะไรติดคอ ตอนเล็กๆดำจึงตัวเล็กกว่าแต้มเล็กน้อย

เราพาลูกหมาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งเป็นระยะๆตามที่หมอนัดเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆและเมื่อเขาไม่สบาย แต่ครั้งหลังๆที่ไปโรงพยาบาล มีความไม่ชอบมาพากลมากขึ้น การรอคิวช้ามากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งได้คิวที่ 15 แต่รอนานหลายชั่วโมงโดยไม่ขึ้นเลขคิวให้ดูตามปกติ และหลังจากเรียกเราแล้วก็ข้ามไปเรียกคิวที่ 35 ต่อไปเลย ดำกับแต้มก็ได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงมากขึ้น หมอบางคนแสดงอาการไม่เป็นมิตร แต่หมอบางคนยังมีน้ำใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นผู้ช่วยพยาบาลกระทำกับดำแต้มอย่างรุนแรงจนหมอเองก็ทนไม่ได้ถึงกับต้องโพล่งออกมาห้วนๆว่า “พอแล้ว” เราพูดกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เรื่องการบริการที่ไม่เป็นธรรม เขาถามว่าจะร้องเรียนผู้อำนวยการโรงพยาบาลไหมพร้อมกับยื่นกระดาษให้เรา เราเขียนหนังสือร้องเรียนผู้อำนายการโรงพยาบาล จำได้ว่าประโยคหนึ่งที่เขียนไปคือ “ไม่รู้สึกอะไรกันบ้างเลยหรือ” อย่างไรก็ดี หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกเลย เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ตอกย้ำความจริงอีกครั้งว่า เมื่อมีใบสั่ง กลไกในเครือข่ายจะทำงานเหมือนเครื่องจักรโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำได้ทุกอย่างทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องเป็นส่วนตัวกันมาก่อน ผลประโยชน์ทำให้คนเหล่านี้พร้อมที่จะสลัดจรรยาบรรณและคุณธรรมทิ้งอย่างไม่ใยดี กิเลสทำให้คนเป็นทาสของมันได้ถึงเพียงนี้

ดำค่อนข้างจะฉลาดและเฮี้ยวกว่าแต้ม ดำมักจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่ซึ่งแต้มก็มักจะยอมอ่อนข้อให้ เวลาเขาเล่นกัน ดำมักจะกระโดดขึ้นตักภรรยาผมหากเธอนั่งเก้าอี้อยู่แถวนั้น ทำนองว่ามีอภิสิทธิ์หน่อยๆ แล้วยื่นหน้าลงไปงับแต้มซึ่งยืนอยู่บนพื้น บางทีเขาก็นอนหลับในตักภรรยาผม ดำทำเช่นนี้มาตลอดจนกระทั่งตัวเขาเริ่มโตเกินกว่าจะทำเช่นนั้นต่อไปได้ แรกๆเขายังคงพยายามจะขึ้นตักภรรยาผมต่อไป ซึ่งภรรยาผมก็ไม่ได้ไล่หรือห้ามเขาแม้ว่าเขาจะตัวโตแล้วก็ตาม แต่ในที่สุด เขาก็รู้ว่าตัวเขาใหญ่เกินไปเสียแล้ว และหยุดพฤติกรรมนั้นไปเอง

เมษายน 2545 เราย้ายจากบ้านแม่ที่วิภาวดีรังสิตมาอยู่บ้านของเราเองที่สร้างไว้เมื่อปี 2530 ดำ-แต้มย้ายมากับเรา จริงๆเขาโตกันแล้ว แต่ความที่เขาเป็นหมาไทยพันธุ์เล็ก น้ำหนักประมาณ 13 กิโลกรัม เราจึงยังคงเรียกพวกเขาติดปากว่า “ลูกหมา” บ้านใหม่ของลูกหมามีแมวหลายตัวอาศัยอยู่รอบๆ และมักจะมาเดินบนขอบรั้วบ้านอย่างท้าทาย ดำกับแต้มจะผนึกกำลังไล่ล่ารอบบ้านตามสัญชาติญาณ บางครั้งแมวก็พลาดตกลงมาในเขตบ้านเราและถูกลูกหมาช่วยกันไล่ต้อน ส่วนใหญ่ก็จะหนีไปได้ แต่บางตัวชะตาขาด ถูกไล่ต้อนเข้ามุมอับ เมื่อถึงจุดนี้แต้มมักจะเป็นตัวเข้าจู่โจมก่อน จะมองว่าเป็นเพราะแต้มมีทักษะในการไล่ล่าสัตว์เล็กมากกว่าดำก็ได้ แต่เราคิดว่าเป็นเพราะความฉลาดแกมโกงของดำมากกว่า เพื่อลดความเสี่ยง ดำรอให้แต้มเข้าโจมตีก่อน แล้วตัวเองค่อยรอเข้าจังหวะสอง ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยแมวนะ เราพยายามแล้ว แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น สุนัขจะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าของขึ้น เราไม่สามารถจะห้ามปรามตามปกติได้ จะเอาไม้ไล่ตีก็ทำไม่ลงเพราะคงจะต้องลงมือกันอย่างรุนแรง แต่ก็มีหลายครั้งที่ภรรยาผมช่วยให้แมวเจ้ากรรมที่ตกลงมาหนีรอดไปได้

นึกย้อนเมื่อครั้งที่เราเอาลูกหมาทั้งสองมาเลี้ยงใหม่ๆ ตอนเขายังเล็กอยู่ ทุกครั้งที่พาเขาออกมานอกตัวบ้าน เราต้องคอยระวังอยู่เสมอ เพราะมักจะมีแมวมานอนซุ่มจ้องมองลูกหมาไม่วางตา มองไม่มองเปล่ายังเลียปากอีกด้วย ความที่ลูกหมาตัวเล็กมาก ขนาดประมาณหนูรุ่นๆเท่านั้น ทำให้แมวพวกนั้นมองเห็นเขาเป็นเหยื่ออย่างหนึ่ง มันอาจคิดว่าลูกหมาเป็นหนูก็ได้

แล้ววันหนึ่งนักล่าก็พลาดท่าเสียที กลางดึกของคืนวันหนึ่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2546 เราได้ยินเสียงดำและแต้มไล่ล่าแมวตัวหนึ่ง มีเสียงการต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย เช้าวันรุ่งขึ้นเราพบซากแมวดำตายอยู่โดยมีแต้มนอนเฝ้าอยู่ใกล้แมวดำตัวนั้นซึ่งเราเห็นเป็นประจำ เป็นแมวที่ค่อนข้างดุ มันมาป้วนเปี้ยนที่บ้านเราเสมอ วันต่อมาเราสังเกตเห็นแต้มเดินขากระเผลก เราพบว่าเขาถูกแมวกัดเป็นแผลที่ซอกต้นขาหน้าซ้าย มีการอักเสบบวม ต่อมาแต้มไม่กินข้าวและเริ่มร้องครางเล็กน้อย วันนั้นเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 2546 ภรรยาผมพาเขาไปคลีนิคสัตว์แพทย์ใกล้บ้าน หมอบอกว่าเขี้ยวแมวสกปรกมาก เชื้อโรคได้เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว หมอทำการเปิดปากแผลให้หนองไหลออก และพยายามดูดหนองที่ลุกลามมาขึ้นที่หัวไหล่ออก หมอเอาหนองออกมาได้ประมาณชามรูปไตใบเล็ก ฉีดยาแก้อักเสบและให้ยากลับมากินต่อที่บ้านหนึ่งสัปดาห์ เราสังเกตว่าอาการแต้มดูเหมือนจะดีขึ้นในช่วงกลางวัน แต่จะแย่ลงตอนเช้า เหมือนกับว่าเขาได้รับเชื้อโรคเพิ่มตอนกลางคืน แต้มหายใจหอบสั่นเล็กน้อย เวลาไอจะมีเลือดจางๆออกมาทางจมูก ภรรยาผมพาแต้มไปหาหมออีกครั้ง หมอฉีดยาและดูดหนองที่เหนือหัวไหล่ซ้ายที่กลับเป็นขึ้นมาอีก ขณะที่ดูดหนอง หมอก็จะบีบถุงหนองไปด้วย เมื่อเขาเจ็บจากการบีบหนองของหมอ เขาจะหันมามองหน้าภรรยาผม แต้มไม่ใช่หมาฉลาด แต่เขาก็ว่าง่าย ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ

การรักษาครั้งที่สองยังคงไม่ได้ผล แต้มยังไม่หาย และเนื่องจากเราไม่สะดวกที่จะพาแต้มไปหาหมอบ่อยๆภรรยาผมจึงไปขอยาหมอมาฉีดเองที่บ้าน หมอผสมยาใส่หลอดฉีดขนาดนิ้วชี้ให้มา 5 หลอด เราฉีดให้แต้มวันละหลอดพร้อมกับดูดหนองให้ทุกวัน เมื่อครบห้าวันแต้มยังคงไม่หาย ผมไปหาหมอคนเดิม เล่าอาการให้หมอฟัง คราวนี้หมอผสมยาฉีดให้อีกห้าหลอดแต่เพิ่มขนาดยาโดยแต่ละหลอดมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ บางวันเราดูดหนองให้เขาได้ถึง 4 หลอดใหญ่ เขาให้ความร่วมมือดี เขารู้ว่าเรากำลังช่วยเขา ครั้งนี้ได้ผล แต้มหายจากการติดเชื้อในกระแสเลือดหลังจากใช้เวลารักษาอยู่เดือนเศษ ดูแต้มจะมีความสุขกว่าเมื่อครั้งก่อนถูกแมวกัด เขามีความมั่นใจมากขึ้น เดิมเราอาจทำให้เขารู้สึกว่าเรารักดำมากกว่าเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเรารักเขาเช่นกัน ต่อมาวันหนึ่งเมื่อผมผ่านไปแถวร้านหมอ ผมเข้าไปบอกหมอว่า “แต้มหายแล้ว”

แต้มมีความสุขกับชีวิตใหม่ได้แค่สามเดือน คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2546 คืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อเที่ยงคืนมาถึง เสียงประทัดยักษ์ ดอกไม้ไฟ ดังไปทั่วบริเวณหลังบ้านด้านทิศใต้ซึ่งเป็นบริเวณอาคารที่พักอาศัยของข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังกึกก้องที่บริเวณดังกล่าวในจุดที่ติดรั้วบ้านของเราต่อเนื่องหลายลูก(ดูหมายเหตุท้ายบทความ) หลังเสียงระเบิดเงียบลง ภรรยาผมได้ยินเสียงลูกหมาตะกุยประตูห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงจะหยุดไปเอง เป็นพฤติกรรมของเขาเมื่อตกใจจากเสียงประทัดยักษ์หรือระเบิดใกล้บ้าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เสียงระเบิดดังรุนแรงกว่าทุกครั้งมาก เสียงตะกุยประตูก็รุนแรงและต่อเนื่องเช่นกัน เขาตะกุยไม่หยุดจนภรรยาผมต้องลงไปดูและพบว่าดำเป็นตัวที่ตะกุยประตู ภรรยาผมจึงเปิดห้องเก็บของให้เขาเข้าไปนอน ส่วนแต้มหายไป จนถึงวันนี้ เราไม่ได้เห็นแต้มอีกเลย รวมระยะเวลาที่แต้มอยู่กับเราทั้งหมด 4 ปี 9 เดือน 27 วัน

หลังจากแต้มหายไป เราให้ดำขึ้นมานอนบนบ้านซึ่งเขาดีใจมาก และทุกครั้งที่เขาจะลงไปข้างล่างเขาจะมองไปยังจุดที่เราเข้าใจว่าเป็นช่องทางที่คนของพวกอำนาจมืดเข้ามาจับตัวแต้มในคืนวันนั้น เขาจะมองจุดนั้นและบริเวณรอบๆจนแน่ใจแล้วเขาจึงจะลงบันไดไปข้างล่าง นับแต่วันที่แต้มหายไป ดำจะอยู่ข้างล่างไม่นานก็จะกลับขึ้นบ้านข้างบน โดยเฉพาะช่วงเย็น แม้เราจะอยู่ข้างล่างด้วยก็ตาม เขาจะมาชวนขึ้นบ้านเสมอ ด้วยสัญชาติญาณและประสบการณ์ ดำรู้ว่าข้างล่างไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน เขาจะระมัดระวังตัวเสมอ

ความเลวร้ายไม่ได้จบเพียงเท่านี้ พวกเขายังคงกดดันเราต่อไปด้วยการทำร้ายดำ เช่น ทำให้ดำอาเจียนบ่อยๆ (พวกเขาใช้วิธีนี้มานานแล้วตั้งแต่ดำเล็กๆ) จนครั้งหนึ่งเราเก็บข้าวที่เขาอาเจียนไว้และนำไปที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งโดยหวังจะให้ทางโรงพยายาลช่วยตรวจหาสารพิษ สัตว์แพทย์ผู้หนึ่งถามผมว่ารู้ได้อย่างไรว่าดำได้รับสารพิษหรือถูกวางยา ผมตอบหมอไปว่า ดำอาเจียนช่วงเช้าเป็นข้าวหย่อมหนึ่ง ข้าวยังคงเป็นเมล็ดเหมือนเพิ่งกินไปไม่นาน แต่เราให้อาหารเขาช่วงบ่าย คือเราให้อาหารเขาครั้งสุดท้ายตั้งแต่บ่ายเมื่อวานซึ่งต้องย่อยหมดไปแล้ว อีกประการหนึ่งคือข้าวหย่อมนั้นเป็นสีเหลืองเหมือนข้าวหมกไก่ซึ่งอาหารที่เราให้เขากินเป็นอาหารธรรมชาติและไม่มีสีเหลืองแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี หมอบอกว่าเดี๋ยวนี้ทางโรงพยาบาลไม่รับตรวจสารพิษแล้ว และแนะนำให้ลองติดต่อกรมๆหนึ่งในกระทรวงสาธารณะสุข เมื่อผมติดต่อไป เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าไม่รับตรวจเหมือนกัน เรื่องจึงจบลงตรงนั้น

หลังจากที่ผมพยายามจะตรวจหาสารพิษที่ทำให้ดำอาเจียนครั้งนั้นแล้ว การอาเจียนของดำลดลง แต่ยังมีการกดดันเราด้วยการทำร้ายดำอีกวิธีหนึ่งซึ่งพวกเขาจะทำเป็นระยะๆ คือการให้ยาบางอย่างซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นฮอร์โมน เพราะมันจะทำให้ดำมีอาการเหมือนสุนัขท้องแก่ คือ ท้องโต เต้านมโต ตัวดำเองก็คิดว่าตัวเองท้อง เขาจะขุดดินทำโพรงเตรียมออกลูก อาการแบบนี้จะเป็นๆหายๆ ตามการให้ยาหรือสารเคมีของพวกเขา ดำถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันเรามาตลอด ระยะหลังๆสภาพร่างกายเขาไม่สมบูรณ์ เหมือนหมาแก่ ซึ่งคงเกิดจากการใช้สารเคมีของคนพวกนั้น จนถึงจุดๆหนึ่งพวกเขาก็ใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดอีกครั้ง

แม้ว่าดำจะระมัดระวังตัวสักเพียงใดเขาก็ไม่อาจจะตามทันเล่เหลี่ยมของคนใจอำมหิตได้ วันที่ 3 กันยายน 2548 เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เราสังเกตเห็นดำมีอาการหายใจหอบ ท้องโตเล็กน้อย เรายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับดำ จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาการดำเริ่มชัดเจน เขาหอบมากขึ้น ท้องโตมากขึ้น ไอมีเลือดปนออกมาทางจมูก มีเลือดหยดออกมาจากช่องปัสสาวะ เขายังคงเดินไปมาได้ แต่นอนไม่ได้ ถึงตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเขาถูกวางยาด้วยสารพิษร้ายแรงบางอย่าง (จากการสอบถามผู้รู้ในภายหลังทราบว่าดำถูกวางยาด้วยสารในกลุ่ม wafarin ซึ่งมีอยู่ในยาเบื่อหนูทั่วไป) ดูจากอาการแล้วเขาไม่รอดแน่ สภาพดำที่อยู่ตรงหน้าทำให้เราสงสารเขามาก ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ คนพวกนี้ก็จะทำร้ายเขาอย่างไม่เลิกราเพื่อกดดันทำร้ายจิตใจเรา เหมือนที่พวกเขาทำมาตลอดตั้งแต่ดำเล็กๆ เราไม่อยากให้ดำต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป เราตัดสินใจปล่อยเขาไป ใกล้บ่ายโมง ดำร้องครางหนึ่งครั้งเบาๆพร้อมกับทรุดตัวลงนอนตะแคง ดำตายบนบ้านเวลา 13.16 น. ของวันที่ 4 กันยายน 2548 รวมระยะเวลาที่เขาอยู่กับเราทั้งหมด 6 ปี กับ 6 เดือน พอดี

ลูกหมาทั้งสองจากเราไปแล้ว เราช่วยเขาได้เพียงแค่นี้ ถึงแม้ดำแต้มจะเป็นหมาข้างถนนที่เราเก็บมาเลี้ยง แต่เราก็รักเขา เราเรียกเขาว่าลูก และเรียกตัวเองว่าพ่อ-แม่ เขาคือครอบครัวของเรา แน่นอนว่า คนที่ทำร้ายดำแต้ม และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเลวร้ายจะต้องได้รับผลกรรมที่พวกเขาทำไว้ เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม ไม่ใช่เพราะเราสาปแช่งพวกเขา และเมื่อวันนั้นมาถึง ก็ขอให้ระลึกถึงบาปกรรมที่ตนได้ทำไว้ วันหนึ่งพวกเขาจะต้องทุกข์ทรมาน สูญเสีย และพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก เคราะห์กรรมอาจตกไปถึงลูกหลานของพวกเขา ชีวิตดำแต้มจะไม่สูญเปล่า …กรรมจะทำหน้าที่ของมัน…




หมายเหตุ
การจุดประทัดทั้งธรรมดาและประทัดยักษ์ และการจุดพลุดอกไม้ไฟ ซึ่งทำให้เกิดเสียงเหมือนระเบิดที่ข้างบ้านเรานี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องในทุกวันหยุดตามประเพณีและวันมงคลต่างๆ ทั้งๆที่บริเวณใกล้เคียงเช่น สวนเบญจกิติ ได้มีการจัดพลุดอกไม้ไฟให้ประชาชนดูอยู่แล้ว เป็นสถานที่เหมาะแก่การจัดงานลักษณะนี้เพราะเป็นสวนสาธารณะ มีพื้นที่กว้างขวาง มีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ จัดทำโดยทีมงานที่ชำนาญงาน ไม่ใช่พื้นที่พักอาศัยอย่างตรงบ้านเรา ซึ่งสภาพไม่เอื้ออำนวยเลย แต่เพราะใบสั่งจึงฝืนทำกันมาตลอด