Monday, August 18, 2008

อันเนื่องมาจากแถลงการณ์ของนายกทักษิณ



เสียดาย และเศร้าใจที่ทรัพยากรบุคคลที่มีค่าอย่างยิ่งไม่อาจอยู่สร้างความไพบูลย์ให้กับประเทศชาติได้ ขณะที่คนกลุ่มน้อยแต่มีอำนาจเร้นลับในสังคมไทยทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายนายกทักษิณ ประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยอย่างอังกฤษกลับยินดีต้อนรับบุคคลผู้นี้ หรือว่ามีแต่ประเทศที่เจริญแล้วเท่านั้นที่มองออกว่านายกทักษิณเป็นบุคคลที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศของเขาได้

ตั้งแต่นายกทักษิณแถลงลี้ภัยไปอยู่อังกฤษเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ความคิดหลากหลายผ่านเข้ามาในสมองของเรา คำพูดของอดีตทูตอังกฤษประจำประเทศไทยที่กล่าวไว้ก่อนจะอำลาประเทศไทยไม่กี่วันดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ประเทศอังกฤษยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกคน” ท่านทูตตอบผู้สัมภาษณ์เมื่อถามถึงกรณีนายกทักษิณจะซื้อทีมฟุตบอลแมนซิตี้ โดยที่ช่วงนั้นกลุ่มที่ยึดอำนาจกำลังทำทุกอย่างเพื่อดิสเครดิตนายกทักษิณ

“ที่อังกฤษ เราเปลี่ยนรัฐบาลด้วยการเลือกตั้ง” เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ท่านทูตพูดออกมาอย่างผู้ดีอังกฤษ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเข้าใจคำพูดประโยคนี้สักเท่าไร

ประชาธิปไตยของไทยต้องเดินอยู่ในกรอบที่พวกเขากำหนด ทั้งๆที่ประชาธิปไตยมีอยู่แบบเดียว แต่ก็อ้างคำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” กันจนเหมือนล้างสมอง ที่อ้างกันว่าประชาธิปไตยของไทยเข้าสู่ทางตัน ก็เป็นคำพูดของผู้ที่ไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่แท้จริงมีทางออกให้กับสังคมเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมรับกติกาประชาธิปไตยกันหรือเปล่า ปัญหาจึงอยู่ที่คนกลุ่มน้อยแต่มีพลังอำนาจในสังคม ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจและการตัดสินใจของประชาชน ประเทศของเราจึงวนเวียนอยู่บนเส้นทางเดิมๆที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

“พรรคเรายืนยันมาตลอดว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหหมาย” นี่คือวาทะกรรมของว่าที่นายกฯหนุ่ม ที่ให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากที่ศาลพิพากษาคุณหญิงเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ได้ไม่กี่นาที เป็นคำพูดที่ดูหนักแน่นมีหลักการ แต่ผมไม่แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามนั้นจริงในทุกกรณีหรือไม่ เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอดีตหัวหน้าพรรคของท่านซึ่งผมได้ยินทางโทรทัศน์ว่า “พูดอะไรก็พูดได้ ต้องดูที่การกระทำ”

มีคนเคยให้ข้อคิดกับเราว่า “บ้านเมืองเราไม่มีขื่อแป” สำนวนนี้อาจดูเป็นคำพูดปกติของคนทั่วไป แต่สำหรับเราขณะนั้นรู้สึกแปลกใจที่เป็นคำพูดของผู้ที่ดูจะอยู่ในระบบ แปลกใจว่าทำไมผู้ที่มีสถานภาพระดับนี้จึงมองสังคมเช่นนี้ ต่อเมื่อเราได้ผ่านการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมมาหลายเรื่องราว เราจึงเข้าใจมากขึ้น เขาพูดอย่างผู้ที่มองทะลุสภาพสังคมไทยและปรับตัวจนดูเหมือนผู้ที่อยู่ในระบบ เราพบว่าสังคมไทยเป็นเช่นนั้นจริงๆ และบอกได้เลยว่า ใครไม่โดนกับตัวไม่รู้สึก ใครที่เคยเข้ามาอ่าน blog ของเรา หากมีใจเป็นธรรมก็จะเข้าใจ เราเผชิญกับสภาพการณ์สองมาตรฐานอย่างซ้ำซาก คำพูดของนายกทักษิณที่กล่าวถึงการปฏิบัติสองมาตรฐานจึงเป็นเรื่องที่เราไม่สงสัยแม้แต่น้อย บิดเบี้ยวกันมาแต่ต้น จะให้ยอมรับได้อย่างไร ประสบการณ์ยังบอกเราว่า ถ้าเป็นพวกเขา แม้จะผิดกฎหมาย เขาก็ช่วย ดึงเรื่อง ดองเรื่อง กดดันข่มขู่ สารพัดวิธี แต่ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจะจัดการเอาคนผู้นั้นเป็นแพะบูชายันสังเวยการสร้างภาพผู้ผดุงคุณธรรมอย่างไม่รีรอ จริงๆแล้วคนไทยทั่วไปก็รู้ว่าระบบสองมาตรฐานนี้มีอยู่จริงในสังคมนี้ แต่ก็ต้องดำเนินบทบาทไปตามสคริปที่สังคมพร่ำเพ้อเพื่อเอาตัวรอดกันไปวันๆ ระบบสองมาตรฐานจึงเป็นความจริงที่แสลงหูคนบางคน

เมืองไทยต้องดีทุกอย่าง เมืองไทยต้องดีที่สุด ยุติธรรมที่สุด มีมาตรฐานเดียวจริงๆ ที่พูดประชดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่รักประเทศไทย แต่รักแบบหลอกกันไปหลอกกันมา ที่สุดก็หลอกตัวเอง จะเป็นผลดีกับประเทศชาติได้อย่างไร

คืนวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2551 ผมเห็นตัววิ่งที่ด้านล่างของจอทีวีช่องทีวีไทย ระบุอดีตนายกฯท่านหนึ่งจากพรรคใหญ่พูดว่า
“ระบอบทักษิณยังคงดำรงอยู่ ซึ่งจะต้องขจัดให้หมดไป” (ตัวหนังสืออาจผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะจำมา) ถ้าคิดแบบนี้ คงต้องคิดใหม่ และคิดหลายรอบด้วย เพราะคงต้องขจัดคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศหลายสิบล้านคน คำก็ “ระบอบทักษิณ” สองคำก็ “ระบอบทักษิณ” ดูบ้างหรือเปล่าว่าประชาชนส่วนใหญ่เขาต้องการอะไร เข้าใจคำว่าประชาธิปไตยกันแค่ไหน ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง เคารพการตัดสินใจของประชาชน อย่าคิดว่าเรารู้ดีกว่าประชาชน แม้เราจะไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ประชาธิปไตยจึงจะเดินหน้าต่อไปได้ หากวันใดประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่านายกทักษิณไม่ดี ไม่สามารถแก้ปัญหาให้พวกเขา หรือไม่สามารถนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ พวกเขาก็จะไม่เลือกนายกทักษิณ และหันไปเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองที่พวกเขาเห็นว่าดีกว่า ไม่มีใครทนเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเลวลงได้หรอก พวกคุณรอไม่ได้หรือ คนไทยยังรอพวกคุณทำอะไรต่อมิอะไรกับประเทศชาติและประชาชนไทยมาหลายสิบปีได้เลย ให้โอกาสคนส่วนใหญ่ของประเทศบ้าง

Tuesday, April 22, 2008

ดู ดู๋ ดู ดูเธอทำ...!


ผมดูข่าวภาคค่ำวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2551 พิธีกรคนหนึ่งได้รับรางวัลผู้ดำเนินรายการชายยอดเยี่ยม จากรายการ.... ข่าวนี้ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปวันที่ 13 มีนาคม 2551

วันนั้น คุณมิ่งขวัญมาร่วมรายการที่มีพิธีกรคนนั้นเป็นผู้ดำเนินรายการ ประเด็นที่พูดคุยกันคือปัญหาเนื้อหมูมีราคาแพงซึ่งเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนั้น ผมไม่ได้กำลังจะถกประเด็นนี้หรอกครับ แต่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่รายการดำเนินไปในวันนั้น

เมื่อรายการดำเนินไประยะหนึ่ง คุณมิ่งขวัญกล่าวว่า "ออกรายการนี้เหนื่อย เดี๋ยวคนเขาคิดว่าเราทะเลาะกัน" เข้าใจว่าการระดมคำถามของผู้ดำเนินรายการ และการที่ต้องหาจังหวะชี้แจงเพราะแทบไม่มีจังหวะเปิดให้เลย ทำให้เกิดเสียงบ่นเช่นนั้น

ระหว่างดำเนินรายการ ผู้ดำเนินรายการไอตลอดเวลา จนถึงจุดหนึ่ง คุณมิ่งขวัญพูดว่า “ผมจะติดไอคุณไหมเนี่ย” คุณมิ่งขวัญคงไม่สบายใจเพราะเพิ่งหายป่วย แล้วต้องมานั่งอยู่ข้างๆคนที่ไอแทบไม่เว้นวรรค แต่ถ้าผมจำไม่ผิด ช่วงต้นรายการ ผู้ดำเนินรายการสัมภาษณ์ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครทางโทรศัพท์ ผู้ดำเนินรายการไม่ไอเลย ดังนั้นจึงเข้าใจว่าผู้ดำเนินรายการคงเพิ่งระคายคอตอนคุยกับคุณมิ่งขวัญ

มีช่วงหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการถามว่าทำไมไม่แก้ปัญหาที่ต้นทางหรือที่วัตถุดิบ (พวกอาหารหมู ประมาณนี้) แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการกำหนดราคาหมูเนื้อแดง คุณมิ่งขวัญพูดว่า "ฟังดูแล้วเหมือนว่าผมเป็นพวกปัญญาอ่อน" ผู้ดำเนินรายการพูดว่า "ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหม" คุณมิ่งขวัญพูดว่า "ได้ยินตอนนี้ หรือว่าหลอกมาด่าทางทีวี"

…………………………………………………………………….

เป็นอีกครั้งที่ได้รู้ได้เห็นนวัตกรรมทางสื่อสารมวลชน
การโต้ตอบของคุณมิ่งขวัญทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
อืม… รายการนี้ดูแล้ว ตาสว่าง!
……………………………………………………………………..

ทุกวันนี้ การต่อสู้โดยใช้สื่อเป็นไปอย่างเข้มข้น วาระซ่อนเร้นมีให้เห็นเป็นปกติครับ