Wednesday, July 12, 2006

แด่ความอำมหิต...


อาจารย์ท่านหนึ่งพูดกับเราเมื่อคุยกันเรื่องอำนาจมืดว่า “โชคดีที่เราไม่มีลูก” และเพื่อนคนหนึ่งก็พูดกับเราทำนองนี้และเสริมด้วยว่า “ถ้าพวกนั้นทำกับลูกของเราๆจะยิ่งเจ็บปวด” เพื่อนคนนี้บอกเช่นนี้ได้เพราะเขารู้เรื่องเครือข่ายอำนาจมืดเป็นอย่างดี แต่เขาบอกเราในฐานะที่เราเป็นเพื่อนเขา …เมื่อเราไม่มีลูก พวกเขาจึงใช้วิธีทำร้ายผู้เป็นที่รักของเรา…

เช้าวันที่ 4 มีนาคม 2542 ผมและภรรยาขับรถออกจากวัดแห่งหนึ่งบนเขาค้อซึ่งเราไปขออาศัยเป็นที่พักโดยมีลูกศิษย์วัดคนหนึ่งนั่งไปด้วย เราไปตามทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก ผ่านทุ่งแสลงหลวง น้ำตกแก่งโสภา อำเภอนครไทย บ้านห้วยตีนตั๋ง เป้าหมายปลายทางคือ “วนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า”

เมื่อออกจากวัดได้สักพัก มีงูลำตัวดำมะเมื่อมขนาดข้อมือเด็ก ยาวประมาณเมตรครึ่ง เลื้อยตัดหน้ารถอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เราไม่ได้ทับงูตัวนั้น ลูกศิษย์วัดบอกว่าถ้าขับรถทับงู เราจะต้องกลับบ้านอาบน้ำแล้วจึงค่อยออกมาใหม่ ชาวบ้านเขาถือกันเช่นนั้น

ผมขับรถเข้าเขตอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ถนนช่วงนั้นเป็นเส้นตรงยาวเหยียด นานๆจึงจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคัน ทันใดนั้นลูกศิษย์วัดก็ชี้ไปบนถนนข้างหน้า ผมเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆสีดำกำลังคลานข้ามถนน ผมชะลอความเร็วรถ ตอนแรกลูกศิษย์วัดคิดว่าเป็นตัวตุ่น แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆเราจึงรู้ว่าเป็นลูกสุนัขสีดำ ผมจอดรถเลยไปห่างจากจุดที่เขาคลานข้ามถนนประมาณ 10 เมตร ผมลงจากรถ เดินย้อนกลับมาที่ลูกหมาตัวนั้น ผมเห็นภาพที่ไม่มีวันจะลืมได้ ลูกหมาตัวนั้นกำลังหมอบคลานศอกระยะ 5 – 6 เมตรบนถนนยางมะตอยเข้ามาหาผม ผมอุ้มเขาขึ้นมา เขาตัวเล็กมาก โตกว่าฝ่ามือเพียงนิดเดียว เป็นหมาไทยเพศเมีย อายุประมาณ 1 เดือน ขนสั้นสีดำทั้งตัว เราตั้งชื่อเขาว่า “มุกดำ” แต่เราจะเรียกเขาสั้นๆว่า “ดำ”

ขณะที่ผมอุ้มดำขึ้นมานั้น ผมได้ยินเสียงร้องของลูกหมาอีกตัวหนึ่ง ผมมองไปตามถนนในทิศทางที่ดำคลานมา ผมเห็นลูกหมาอีกตัวหนึ่งนั่งร้องอยู่บนไหล่ถนนห่างไปประมาณ 12 เมตร ผมเดินไปอุ้มเขาขึ้นมา เขาหยุดร้อง เป็นหมาไทยเพศเมียขนสั้นสีดำเช่นกัน ขนาดเท่าๆกับดำ หน้าตาก็เหมือนกันจนเหมือนฝาแฝด ต่างกันที่ตัวนี้มีสีขาวยาวตั้งแต่ยอดอกถึงท้องกับสีขาวที่ปลายเท้า เราตั้งชื่อให้เขาว่า “แต้ม” ผมส่งลูกหมาทั้งสองตัวให้ภรรยาซึ่งตามลงมา ก่อนเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้ “จ้อย” หมาไทยหลังอานเพศผู้สีดำของเราเพิ่งตายจากเราไปไม่นาน และด้วยความที่เธอรักจ้อยมาก ภรรยาผมตั้งใจว่าจะไม่เลี้ยงสุนัขอีก แต่เมื่อเธอเห็นลูกหมาทั้งสองถูกทิ้งอยู่ข้างถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยวเช่นนี้ ประกอบกับระหว่างทางเราได้เห็นซากสุนัขถูกรถทับเป็นระยะๆตลอดทาง เธอจึงเปลี่ยนใจซึ่งผมรู้ได้จากสีหน้าของเธอ
("จ้อย" ยังไม่ถึงขวบ)


ทันทีที่ดำและแต้มขึ้นไปอยู่บนรถ เขาทำความคุ้นเคยกับเราได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีทีท่าตื่นกลัวหลงเหลืออยู่เลย ด้วยสัญชาติญาณ เขารู้ว่าเราช่วยเขา เขาทำตัวราวกับอยู่บ้านของตัวเอง ซุกซน ปีนเล่นในรถอุตลุด ภรรยาผมต้องคอยคว้าไว้ไม่ให้เขาปีนมาหาผมที่เบาะหน้า วันนั้นเราพาลูกหมาไปเที่ยวภูหินร่องกล้ากับเราด้วย เราไม่ได้เตรียมอะไรไปจึงมีเพียงน้ำดื่มให้เขากินประทังหิวไปก่อน เมื่อเพลียเขาก็จะหลับในอกเรา

ที่วนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เราอุ้มดำแต้มเดินเที่ยวไปกับเราตามเส้นทางท่องเที่ยวบนภู เป็นเส้นทางเดินเที่ยวระยะ 3 กิโลเมตร วันนั้นแทบไม่มีคนเลย อาจเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุด เราสวนกับคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งตอนเริ่มออกเดิน และตลอดเส้นทางการเดินจนกระทั่งกลับมาที่จอดรถเราพบคนอีกเพียงกลุ่มเดียว เข้าใจว่าเป็นม้งมาเที่ยวเหมือนกับเรา ม้งกลุ่มนี้มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็กๆรวมกันนับสิบคน จำได้ว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอ้วนจ้ำม่ำแก้มแดงน่ารักจนภรรยาผมทัก ตอนเราเจอกลุ่มม้งพวกเขามาจากอีกทางหนึ่ง มาเจอกันระหว่างทางแล้วแซงหน้าเราไปเมื่อใกล้ถึงผาชูธง ("ดำ" กับ "แต้ม" เพิ่งมาอยู่กับเราได้ 5 วัน)


ผ่านผาชูธงมาได้ไม่นาน ช่วงนั้นประมาณอีก 1 กิโลเมตรจะถึงที่จอดรถ เราได้ยินเสียงซู่ๆเหมือนเสียงน้ำไหลอยู่ใกล้ๆ ตอนแรกเราคิดว่าคงมีลำธารอยู่แถวนั้น แต่พอเหลียวมองไปทางขวาซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแห้งที่มีใบไม้แห้งปกคลุมเต็มไปหมด ห่างไปแค่สองถึงสามเมตรเราเห็นส่วนท้ายของงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังเลื้อยช้าๆออกไป เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงน้ำไหลแต่เป็นเสียงที่เกิดจากการเลื้อยแหวกพงหญ้าและใบไม้แห้งที่มีอยู่ทุกตารางนิ้วของงูตัวนั้น แวบแรกที่เห็น ลูกศิษย์วัดเอ่ยขึ้นว่า “งูเหลือม” แต่พูดไม่ทันขาดคำใบหน้าลูกศิษย์วัดก็ซีดเผือด ผงะถอยหนึ่งก้าวพร้อมกับคำพูดลอยออกมาจากปาก “งูจงอาง” แล้วยืนนิ่งตัวแข็ง ตอนนั้นผมมองงูตัวนั้นอยู่ด้วยใจระทึก เป็นงูที่มีขนาดใหญ่มาก ลำตัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามนิ้วครึ่งถึงสี่นิ้ว สีดำเหมือนงูที่เลื้อยตัดหน้ารถตอนเช้าที่เขาค้อ ผมไม่เห็นส่วนหัวของงู แต่จากขนาดและสีของงูบอกให้เรารู้ว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากงูจงอาง ภรรยาผมได้สติบอกให้ลูกศิษย์วัดเดินต่อไป เราเดินต่อไปอย่างเงียบๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ระหว่างนั้นเรายังคงได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วอยู่ด้านหลังตลอดเวลาราวกับว่าจงอางตัวนั้นกำลังเลื้อยอยู่ข้างหลังเรา ไม่มีใครกล้าหันกลับไปมอง เราได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้น สักพักเสียงน้ำไหลก็ค่อยๆจางห่างออกไป ("ดำ" กับ "แต้ม" อายุประมาณสี่เดือน)

เมื่อกลับมาที่รถแล้วภรรยาผมเล่าว่าเธอเห็นส่วนหัวของงู ตอนนั้นเธอมองจงอางและจงอางก็มองเธอ เธอไม่รู้สึกว่างูตัวนี้มีทีท่าจะคุกคามเธอเลย เธอไม่รู้สึกหวาดกลัวจนกระทั่งเห็นอาการของลูกศิษย์วัดนั่นแหละความกลัวก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามา คำนวณระยะจากส่วนท้ายไปจนถึงส่วนหัวของงูแล้ว จงอางตัวนี้น่าจะมีความยาวประมาณสี่ถึงห้าเมตร เป็นจงอางที่มีขนาดใหญ่มากจนลูกศิษย์วัดพูดว่าจงอางตัวนี้ไม่ใช่งูธรรมดา เราเรียกเขาว่า “พญางู”

ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาได้สักพัก เราเดินมาถึงทางเข้าสุสาน ทปท. ผมอยากจะแวะเข้าไปดูซึ่งต้องเดินเข้าไปจากข้างทางอีกระยะหนึ่ง แต่ภรรยาผมห้ามไว้ เธอไม่ยอมให้เราแวะที่ไหนอีกแล้ว เราเดินต่อไปจนถึงที่จอดรถและกลับวัดที่พักบนเขาค้อโดยแวะซื้อนมกล่องให้ลูกหมาจากตลาดเล็กๆใกล้วัด เราคิดว่าอาจเป็นบุญกุศลที่ส่งผลทันตา กุศลผลบุญที่เราได้ช่วยชีวิตดำและแต้มจากข้างถนนทำให้เราแคล้วคลาดไม่ได้รับอันตรายใดๆ หรืออาจด้วยกุศลผลบุญอันนี้ พญางูจึงมาปรากฏตัวเพื่อเตือนภัยเราก็ได้ ด้วยเหตุนี้ภรรยาผมจึงไม่ยอมให้เราแวะที่ไหนอีกซึ่งผมก็เห็นด้วย นับว่าเป็นวันหนึ่งที่เราไม่อาจลืมได้เลย

ในห้องพักที่วัด เราใช้ลังกระดาษทำเป็นที่นอนให้ดำแต้มโดยวางชิดฝาห่างจากเตียงของเราไปเมตรครึ่ง แต่ดูลูกหมาจะไม่ชอบ เขาร้องกวน เราเปลี่ยนที่นอนให้เขาใหม่โดยย้ายลังกระดาษมาวางชิดผนังอีกด้านติดกับหัวเตียงของเรา คราวนี้ได้ผล ลูกหมาสงบลงไม่ร้องกวน เมื่อหิวเขาจะวิ่งไปกินนมที่เราใส่จานวางไว้หน้าห้องน้ำที่ปลายเตียง กินเสร็จก็จะฉี่แถวๆนั้น ห่างจากจานใส่นมประมาณหนึ่งเมตร แล้ววิ่งกลับมานอนในลัง เป็นเส้นทางที่ตรงไปตรงมา ไม่มีการออกนอกเส้นทางเลย ตอนเช้าเราพาเขาออกมาถ่ายหนัก เนื่องจากห้องที่เราพักเป็นบ้านหลังเล็กๆที่มีหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ รอบๆบ้านเป็นสวนป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งปกคลุมเต็มพื้นดิน เมื่อเขาจะหาที่ถ่ายเขาก็ต้องกระโดดลงไปลุยใบไม้แห้งที่สูงเกือบท่วมตัวเขา (เพราะตัวเขาเล็กมาก) เมื่อถ่ายเสร็จก็จะพากันวิ่งขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าบ้าน กินนม นอน กระบวนการเหล่านี้ดำเนินไปตามธรรมชาติ โดยที่เราไม่ได้สอนอะไรเขาเลย เพียงแต่เปิดประตู เรียกเขาออกมา พอเขาถ่ายเสร็จ เราก็เดินนำไปและเปิดประตู เขาก็จะกระโดดเข้าบ้าน เขาเรียนรู้ด้วยสัญชาติญาณได้อย่างรวดเร็ว

สองวันต่อมาเรากลับบ้านที่กรุงเทพ ลูกหมาทั้งสองตัวมีหมัดคลานยั้วเยี้ยไปหมด ดูจากภายนอกแล้วทั้งสองตัวดูแข็งแรงดี เล่นซุกซนเหมือนลูกหมาทั่วๆไป แต่ดำมีน้ำมูกใสๆไหลที่ปลายจมูกตลอดเวลาและดวงตาของดำก็เป็นสีเทามัวๆ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าตาของดำเป็นแบบนั้นเอง เมื่อเราพาดำและแต้มไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เราจึงรู้ว่าดำเป็นหวัดและที่ตาของดำเป็นสีเทามัวๆเช่นนั้นก็เพราะเขาขาดสารอาหาร ต่อมาเมื่อเขาได้รับสารอาหารครบถ้วน ดวงตาของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนเป็นสีดำสดใสเหมือนสุนัขทั่วไป นอกจากเป็นหวัดและปัญหาเรื่องขาดสารอาหารแล้ว ดำยังมีปัญหาบางอย่างในคอทำให้เขากินช้าและไอเวลากินคล้ายมีอะไรติดคอ ตอนเล็กๆดำจึงตัวเล็กกว่าแต้มเล็กน้อย

เราพาลูกหมาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งเป็นระยะๆตามที่หมอนัดเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆและเมื่อเขาไม่สบาย แต่ครั้งหลังๆที่ไปโรงพยาบาล มีความไม่ชอบมาพากลมากขึ้น การรอคิวช้ามากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งได้คิวที่ 15 แต่รอนานหลายชั่วโมงโดยไม่ขึ้นเลขคิวให้ดูตามปกติ และหลังจากเรียกเราแล้วก็ข้ามไปเรียกคิวที่ 35 ต่อไปเลย ดำกับแต้มก็ได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงมากขึ้น หมอบางคนแสดงอาการไม่เป็นมิตร แต่หมอบางคนยังมีน้ำใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นผู้ช่วยพยาบาลกระทำกับดำแต้มอย่างรุนแรงจนหมอเองก็ทนไม่ได้ถึงกับต้องโพล่งออกมาห้วนๆว่า “พอแล้ว” เราพูดกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เรื่องการบริการที่ไม่เป็นธรรม เขาถามว่าจะร้องเรียนผู้อำนวยการโรงพยาบาลไหมพร้อมกับยื่นกระดาษให้เรา เราเขียนหนังสือร้องเรียนผู้อำนายการโรงพยาบาล จำได้ว่าประโยคหนึ่งที่เขียนไปคือ “ไม่รู้สึกอะไรกันบ้างเลยหรือ” อย่างไรก็ดี หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกเลย เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ตอกย้ำความจริงอีกครั้งว่า เมื่อมีใบสั่ง กลไกในเครือข่ายจะทำงานเหมือนเครื่องจักรโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำได้ทุกอย่างทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องเป็นส่วนตัวกันมาก่อน ผลประโยชน์ทำให้คนเหล่านี้พร้อมที่จะสลัดจรรยาบรรณและคุณธรรมทิ้งอย่างไม่ใยดี กิเลสทำให้คนเป็นทาสของมันได้ถึงเพียงนี้

ดำค่อนข้างจะฉลาดและเฮี้ยวกว่าแต้ม ดำมักจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่ซึ่งแต้มก็มักจะยอมอ่อนข้อให้ เวลาเขาเล่นกัน ดำมักจะกระโดดขึ้นตักภรรยาผมหากเธอนั่งเก้าอี้อยู่แถวนั้น ทำนองว่ามีอภิสิทธิ์หน่อยๆ แล้วยื่นหน้าลงไปงับแต้มซึ่งยืนอยู่บนพื้น บางทีเขาก็นอนหลับในตักภรรยาผม ดำทำเช่นนี้มาตลอดจนกระทั่งตัวเขาเริ่มโตเกินกว่าจะทำเช่นนั้นต่อไปได้ แรกๆเขายังคงพยายามจะขึ้นตักภรรยาผมต่อไป ซึ่งภรรยาผมก็ไม่ได้ไล่หรือห้ามเขาแม้ว่าเขาจะตัวโตแล้วก็ตาม แต่ในที่สุด เขาก็รู้ว่าตัวเขาใหญ่เกินไปเสียแล้ว และหยุดพฤติกรรมนั้นไปเอง

เมษายน 2545 เราย้ายจากบ้านแม่ที่วิภาวดีรังสิตมาอยู่บ้านของเราเองที่สร้างไว้เมื่อปี 2530 ดำ-แต้มย้ายมากับเรา จริงๆเขาโตกันแล้ว แต่ความที่เขาเป็นหมาไทยพันธุ์เล็ก น้ำหนักประมาณ 13 กิโลกรัม เราจึงยังคงเรียกพวกเขาติดปากว่า “ลูกหมา” บ้านใหม่ของลูกหมามีแมวหลายตัวอาศัยอยู่รอบๆ และมักจะมาเดินบนขอบรั้วบ้านอย่างท้าทาย ดำกับแต้มจะผนึกกำลังไล่ล่ารอบบ้านตามสัญชาติญาณ บางครั้งแมวก็พลาดตกลงมาในเขตบ้านเราและถูกลูกหมาช่วยกันไล่ต้อน ส่วนใหญ่ก็จะหนีไปได้ แต่บางตัวชะตาขาด ถูกไล่ต้อนเข้ามุมอับ เมื่อถึงจุดนี้แต้มมักจะเป็นตัวเข้าจู่โจมก่อน จะมองว่าเป็นเพราะแต้มมีทักษะในการไล่ล่าสัตว์เล็กมากกว่าดำก็ได้ แต่เราคิดว่าเป็นเพราะความฉลาดแกมโกงของดำมากกว่า เพื่อลดความเสี่ยง ดำรอให้แต้มเข้าโจมตีก่อน แล้วตัวเองค่อยรอเข้าจังหวะสอง ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยแมวนะ เราพยายามแล้ว แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น สุนัขจะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าของขึ้น เราไม่สามารถจะห้ามปรามตามปกติได้ จะเอาไม้ไล่ตีก็ทำไม่ลงเพราะคงจะต้องลงมือกันอย่างรุนแรง แต่ก็มีหลายครั้งที่ภรรยาผมช่วยให้แมวเจ้ากรรมที่ตกลงมาหนีรอดไปได้

นึกย้อนเมื่อครั้งที่เราเอาลูกหมาทั้งสองมาเลี้ยงใหม่ๆ ตอนเขายังเล็กอยู่ ทุกครั้งที่พาเขาออกมานอกตัวบ้าน เราต้องคอยระวังอยู่เสมอ เพราะมักจะมีแมวมานอนซุ่มจ้องมองลูกหมาไม่วางตา มองไม่มองเปล่ายังเลียปากอีกด้วย ความที่ลูกหมาตัวเล็กมาก ขนาดประมาณหนูรุ่นๆเท่านั้น ทำให้แมวพวกนั้นมองเห็นเขาเป็นเหยื่ออย่างหนึ่ง มันอาจคิดว่าลูกหมาเป็นหนูก็ได้

แล้ววันหนึ่งนักล่าก็พลาดท่าเสียที กลางดึกของคืนวันหนึ่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2546 เราได้ยินเสียงดำและแต้มไล่ล่าแมวตัวหนึ่ง มีเสียงการต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย เช้าวันรุ่งขึ้นเราพบซากแมวดำตายอยู่โดยมีแต้มนอนเฝ้าอยู่ใกล้แมวดำตัวนั้นซึ่งเราเห็นเป็นประจำ เป็นแมวที่ค่อนข้างดุ มันมาป้วนเปี้ยนที่บ้านเราเสมอ วันต่อมาเราสังเกตเห็นแต้มเดินขากระเผลก เราพบว่าเขาถูกแมวกัดเป็นแผลที่ซอกต้นขาหน้าซ้าย มีการอักเสบบวม ต่อมาแต้มไม่กินข้าวและเริ่มร้องครางเล็กน้อย วันนั้นเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 2546 ภรรยาผมพาเขาไปคลีนิคสัตว์แพทย์ใกล้บ้าน หมอบอกว่าเขี้ยวแมวสกปรกมาก เชื้อโรคได้เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว หมอทำการเปิดปากแผลให้หนองไหลออก และพยายามดูดหนองที่ลุกลามมาขึ้นที่หัวไหล่ออก หมอเอาหนองออกมาได้ประมาณชามรูปไตใบเล็ก ฉีดยาแก้อักเสบและให้ยากลับมากินต่อที่บ้านหนึ่งสัปดาห์ เราสังเกตว่าอาการแต้มดูเหมือนจะดีขึ้นในช่วงกลางวัน แต่จะแย่ลงตอนเช้า เหมือนกับว่าเขาได้รับเชื้อโรคเพิ่มตอนกลางคืน แต้มหายใจหอบสั่นเล็กน้อย เวลาไอจะมีเลือดจางๆออกมาทางจมูก ภรรยาผมพาแต้มไปหาหมออีกครั้ง หมอฉีดยาและดูดหนองที่เหนือหัวไหล่ซ้ายที่กลับเป็นขึ้นมาอีก ขณะที่ดูดหนอง หมอก็จะบีบถุงหนองไปด้วย เมื่อเขาเจ็บจากการบีบหนองของหมอ เขาจะหันมามองหน้าภรรยาผม แต้มไม่ใช่หมาฉลาด แต่เขาก็ว่าง่าย ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ

การรักษาครั้งที่สองยังคงไม่ได้ผล แต้มยังไม่หาย และเนื่องจากเราไม่สะดวกที่จะพาแต้มไปหาหมอบ่อยๆภรรยาผมจึงไปขอยาหมอมาฉีดเองที่บ้าน หมอผสมยาใส่หลอดฉีดขนาดนิ้วชี้ให้มา 5 หลอด เราฉีดให้แต้มวันละหลอดพร้อมกับดูดหนองให้ทุกวัน เมื่อครบห้าวันแต้มยังคงไม่หาย ผมไปหาหมอคนเดิม เล่าอาการให้หมอฟัง คราวนี้หมอผสมยาฉีดให้อีกห้าหลอดแต่เพิ่มขนาดยาโดยแต่ละหลอดมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ บางวันเราดูดหนองให้เขาได้ถึง 4 หลอดใหญ่ เขาให้ความร่วมมือดี เขารู้ว่าเรากำลังช่วยเขา ครั้งนี้ได้ผล แต้มหายจากการติดเชื้อในกระแสเลือดหลังจากใช้เวลารักษาอยู่เดือนเศษ ดูแต้มจะมีความสุขกว่าเมื่อครั้งก่อนถูกแมวกัด เขามีความมั่นใจมากขึ้น เดิมเราอาจทำให้เขารู้สึกว่าเรารักดำมากกว่าเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเรารักเขาเช่นกัน ต่อมาวันหนึ่งเมื่อผมผ่านไปแถวร้านหมอ ผมเข้าไปบอกหมอว่า “แต้มหายแล้ว”

แต้มมีความสุขกับชีวิตใหม่ได้แค่สามเดือน คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2546 คืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อเที่ยงคืนมาถึง เสียงประทัดยักษ์ ดอกไม้ไฟ ดังไปทั่วบริเวณหลังบ้านด้านทิศใต้ซึ่งเป็นบริเวณอาคารที่พักอาศัยของข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังกึกก้องที่บริเวณดังกล่าวในจุดที่ติดรั้วบ้านของเราต่อเนื่องหลายลูก(ดูหมายเหตุท้ายบทความ) หลังเสียงระเบิดเงียบลง ภรรยาผมได้ยินเสียงลูกหมาตะกุยประตูห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงจะหยุดไปเอง เป็นพฤติกรรมของเขาเมื่อตกใจจากเสียงประทัดยักษ์หรือระเบิดใกล้บ้าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เสียงระเบิดดังรุนแรงกว่าทุกครั้งมาก เสียงตะกุยประตูก็รุนแรงและต่อเนื่องเช่นกัน เขาตะกุยไม่หยุดจนภรรยาผมต้องลงไปดูและพบว่าดำเป็นตัวที่ตะกุยประตู ภรรยาผมจึงเปิดห้องเก็บของให้เขาเข้าไปนอน ส่วนแต้มหายไป จนถึงวันนี้ เราไม่ได้เห็นแต้มอีกเลย รวมระยะเวลาที่แต้มอยู่กับเราทั้งหมด 4 ปี 9 เดือน 27 วัน

หลังจากแต้มหายไป เราให้ดำขึ้นมานอนบนบ้านซึ่งเขาดีใจมาก และทุกครั้งที่เขาจะลงไปข้างล่างเขาจะมองไปยังจุดที่เราเข้าใจว่าเป็นช่องทางที่คนของพวกอำนาจมืดเข้ามาจับตัวแต้มในคืนวันนั้น เขาจะมองจุดนั้นและบริเวณรอบๆจนแน่ใจแล้วเขาจึงจะลงบันไดไปข้างล่าง นับแต่วันที่แต้มหายไป ดำจะอยู่ข้างล่างไม่นานก็จะกลับขึ้นบ้านข้างบน โดยเฉพาะช่วงเย็น แม้เราจะอยู่ข้างล่างด้วยก็ตาม เขาจะมาชวนขึ้นบ้านเสมอ ด้วยสัญชาติญาณและประสบการณ์ ดำรู้ว่าข้างล่างไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน เขาจะระมัดระวังตัวเสมอ

ความเลวร้ายไม่ได้จบเพียงเท่านี้ พวกเขายังคงกดดันเราต่อไปด้วยการทำร้ายดำ เช่น ทำให้ดำอาเจียนบ่อยๆ (พวกเขาใช้วิธีนี้มานานแล้วตั้งแต่ดำเล็กๆ) จนครั้งหนึ่งเราเก็บข้าวที่เขาอาเจียนไว้และนำไปที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งโดยหวังจะให้ทางโรงพยายาลช่วยตรวจหาสารพิษ สัตว์แพทย์ผู้หนึ่งถามผมว่ารู้ได้อย่างไรว่าดำได้รับสารพิษหรือถูกวางยา ผมตอบหมอไปว่า ดำอาเจียนช่วงเช้าเป็นข้าวหย่อมหนึ่ง ข้าวยังคงเป็นเมล็ดเหมือนเพิ่งกินไปไม่นาน แต่เราให้อาหารเขาช่วงบ่าย คือเราให้อาหารเขาครั้งสุดท้ายตั้งแต่บ่ายเมื่อวานซึ่งต้องย่อยหมดไปแล้ว อีกประการหนึ่งคือข้าวหย่อมนั้นเป็นสีเหลืองเหมือนข้าวหมกไก่ซึ่งอาหารที่เราให้เขากินเป็นอาหารธรรมชาติและไม่มีสีเหลืองแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี หมอบอกว่าเดี๋ยวนี้ทางโรงพยาบาลไม่รับตรวจสารพิษแล้ว และแนะนำให้ลองติดต่อกรมๆหนึ่งในกระทรวงสาธารณะสุข เมื่อผมติดต่อไป เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าไม่รับตรวจเหมือนกัน เรื่องจึงจบลงตรงนั้น

หลังจากที่ผมพยายามจะตรวจหาสารพิษที่ทำให้ดำอาเจียนครั้งนั้นแล้ว การอาเจียนของดำลดลง แต่ยังมีการกดดันเราด้วยการทำร้ายดำอีกวิธีหนึ่งซึ่งพวกเขาจะทำเป็นระยะๆ คือการให้ยาบางอย่างซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นฮอร์โมน เพราะมันจะทำให้ดำมีอาการเหมือนสุนัขท้องแก่ คือ ท้องโต เต้านมโต ตัวดำเองก็คิดว่าตัวเองท้อง เขาจะขุดดินทำโพรงเตรียมออกลูก อาการแบบนี้จะเป็นๆหายๆ ตามการให้ยาหรือสารเคมีของพวกเขา ดำถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันเรามาตลอด ระยะหลังๆสภาพร่างกายเขาไม่สมบูรณ์ เหมือนหมาแก่ ซึ่งคงเกิดจากการใช้สารเคมีของคนพวกนั้น จนถึงจุดๆหนึ่งพวกเขาก็ใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดอีกครั้ง

แม้ว่าดำจะระมัดระวังตัวสักเพียงใดเขาก็ไม่อาจจะตามทันเล่เหลี่ยมของคนใจอำมหิตได้ วันที่ 3 กันยายน 2548 เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เราสังเกตเห็นดำมีอาการหายใจหอบ ท้องโตเล็กน้อย เรายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับดำ จนเช้าวันรุ่งขึ้น อาการดำเริ่มชัดเจน เขาหอบมากขึ้น ท้องโตมากขึ้น ไอมีเลือดปนออกมาทางจมูก มีเลือดหยดออกมาจากช่องปัสสาวะ เขายังคงเดินไปมาได้ แต่นอนไม่ได้ ถึงตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเขาถูกวางยาด้วยสารพิษร้ายแรงบางอย่าง (จากการสอบถามผู้รู้ในภายหลังทราบว่าดำถูกวางยาด้วยสารในกลุ่ม wafarin ซึ่งมีอยู่ในยาเบื่อหนูทั่วไป) ดูจากอาการแล้วเขาไม่รอดแน่ สภาพดำที่อยู่ตรงหน้าทำให้เราสงสารเขามาก ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ คนพวกนี้ก็จะทำร้ายเขาอย่างไม่เลิกราเพื่อกดดันทำร้ายจิตใจเรา เหมือนที่พวกเขาทำมาตลอดตั้งแต่ดำเล็กๆ เราไม่อยากให้ดำต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป เราตัดสินใจปล่อยเขาไป ใกล้บ่ายโมง ดำร้องครางหนึ่งครั้งเบาๆพร้อมกับทรุดตัวลงนอนตะแคง ดำตายบนบ้านเวลา 13.16 น. ของวันที่ 4 กันยายน 2548 รวมระยะเวลาที่เขาอยู่กับเราทั้งหมด 6 ปี กับ 6 เดือน พอดี

ลูกหมาทั้งสองจากเราไปแล้ว เราช่วยเขาได้เพียงแค่นี้ ถึงแม้ดำแต้มจะเป็นหมาข้างถนนที่เราเก็บมาเลี้ยง แต่เราก็รักเขา เราเรียกเขาว่าลูก และเรียกตัวเองว่าพ่อ-แม่ เขาคือครอบครัวของเรา แน่นอนว่า คนที่ทำร้ายดำแต้ม และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเลวร้ายจะต้องได้รับผลกรรมที่พวกเขาทำไว้ เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม ไม่ใช่เพราะเราสาปแช่งพวกเขา และเมื่อวันนั้นมาถึง ก็ขอให้ระลึกถึงบาปกรรมที่ตนได้ทำไว้ วันหนึ่งพวกเขาจะต้องทุกข์ทรมาน สูญเสีย และพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก เคราะห์กรรมอาจตกไปถึงลูกหลานของพวกเขา ชีวิตดำแต้มจะไม่สูญเปล่า …กรรมจะทำหน้าที่ของมัน…




หมายเหตุ
การจุดประทัดทั้งธรรมดาและประทัดยักษ์ และการจุดพลุดอกไม้ไฟ ซึ่งทำให้เกิดเสียงเหมือนระเบิดที่ข้างบ้านเรานี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องในทุกวันหยุดตามประเพณีและวันมงคลต่างๆ ทั้งๆที่บริเวณใกล้เคียงเช่น สวนเบญจกิติ ได้มีการจัดพลุดอกไม้ไฟให้ประชาชนดูอยู่แล้ว เป็นสถานที่เหมาะแก่การจัดงานลักษณะนี้เพราะเป็นสวนสาธารณะ มีพื้นที่กว้างขวาง มีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ จัดทำโดยทีมงานที่ชำนาญงาน ไม่ใช่พื้นที่พักอาศัยอย่างตรงบ้านเรา ซึ่งสภาพไม่เอื้ออำนวยเลย แต่เพราะใบสั่งจึงฝืนทำกันมาตลอด